Search-form

Welcome to Info Variety ~ The pleasure of life's variety

สีชมพูช่วยให้ผ่อนคลาย มีความสุข และมีความคิดสร้างสรรค์

Welcome to Info Variety ~ The pleasure of life's variety

ไวน์แดงช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ

Welcome to Info Variety ~ The pleasure of life's variety

คนที่ว่ายน้ำไม่เป็นสามารถดำน้ำลึกได้ หากไม่กลัวน้ำ

Welcome to Info Variety ~ The pleasure of life's variety

ช็อคโกแลตอุดมไปด้วยสารเซโรโทนินและเอ็นดอร์ฟินที่ทำให้สบายใจ สดชื่น และมีความสุข

Welcome to Info Variety ~ The pleasure of life's variety

กาแฟร้อนไม่ใส่น้ำตาลและนม ช่วยแก้อาการเมาค้าง

Welcome to Info Variety ~ The pleasure of life's variety

ผัก ปลา และผลิตภัณฑ์จากนม ช่วยบำรุงให้ผมสวย

เทรนด์สีผมปี 2011



          อัพเดทเทรนด์สีผมต้อนรับปี 2011 ที่กำลังจะมาถึง ด้วยโทนสีน้ำตาลแบบธรรมชาติ ที่มีให้เลือกกันอยู่หลายเฉดเลยทีเดียว ขอบอกว่าปีหน้าสีน้ำตาลนี่แหละ อินเทรนด์ไม่ตกยุคแน่นอน ถึงแม้จะไม่ใช่สีสันที่ดู จัดจ้าน แต่สีน้ำตาลก็ยังคงได้รับความนิยมเสมอมา เนื่องจากเป็นโทนสีธรรมชาติ ที่สามารถแมทช์เข้ากับกระแสแฟชั่นที่วนซ้ำไปซ้ำมาได้แทบทุกเทรนด์ แถมยังเหมาะกับสาวไทยเป็นที่สุดเชียวละ ถ้าไม่อยากเอ้าท์ ลองมาอัพเดทเทรนด์สีผมไปพร้อมกันได้เลยค่ะ
    คาราเมล
        คาราเมล เป็นสีน้ำตาลเฉดอ่อนที่ผสมประกายสีทองเข้าไป เพิ่มเสน่ห์ให้สาวสวยดูน่าหลงใหล ไม่ว่าจะเป็นผมสั้นหรือผมยาวก็เก๋ไก๋ไม่เบา ลองสลัดภาพสาวผมบรอนซ์ออกไปก่อน แล้วเปลี่ยนเป็นสีคาราเมลดูบ้าง เชื่อมั้ยละว่า สวยแปลกตาจนทุกคนต้องเหลียวมอง

โทนสีน้ำตาลคาราเมล นับว่าเป็นสียอดฮิตที่กำลังมาแรง และคาดว่าจะฮอตต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า สีน้ำตาลทำให้ใบหน้าดูสวยสดใส ผสมกับประกายสีทอง ยิ่งทำให้ใบหน้าดูบริ๊ง ถึงเวลาสาวไทยยิ้มออกแล้วละ เพราะสีคาราเมลนั้นช่างเหมาะเจาะกับสาวผิวสองสีไปจนถึงผิวคล้ำ แถมยังขับให้ผิวให้ดูสว่างกระจ่างใสขึ้นได้มากทีเดียว

     กาแฟ
         กาแฟ นับเป็นสีน้ำตาลเฉดเข้มที่หลายคนคุ้นเคย โทนสีอบอุ่นสำหรับสาวหวาน เรียบหรูดูคลาสสิกไปกับสีน้ำตาลแบบธรรมชาติ เสน่ห์ความหอมกรุ่นของกลิ่นอายของกาแฟ สะท้อนความหอมหวานที่ซ่อนอยู่ในตัวสาวๆ ออกมาได้เป็นอย่างดี ต้องยอมรับว่าลุคสาวหวานอ่อนโยนนั้นไม่เคยตกยุคตกสมัยเลยทีเดียว

        โทนน้ำตาลไม่ว่าเฉดไหนก็ดูเข้ากับสาวไทยได้เป็นอย่างดี และที่แน่นอนคือ สีกาแฟ ที่ไม่ตัดกับสีผิวจนเกินไป สวยใสแบบธรรมชาติ แต่หากเป็นสีน้ำตาลเข้มอย่างเดียวอาจจะทำให้ลุคดูเคร่งครึม ลองใช้วิธีการดัดลอนเข้ามาช่วย เพิ่มความพลิ้วไหวให้ดูอ่อนโยน น่ารักไม่เบาเลยละ

         Fun Trick             อย่าปล่อยให้เฉดสีน้ำตาลดูเชยซ้ำซาก หาลูกเล่นมาเสริมเพิ่มความโดดเด่นให้กับทรงผม ด้วยการซอยเล่นระดับให้แปลกแตกต่างไปจากเดิมสักนิด แต่หากเสียดายผมที่ไว้มานานแสนนาน ไม่อยากซอยออก ลองทำไฮไลท์เพิ่มเข้าดูซิค่ะ เลือกเฉดสีทองประกายเข้าไปให้สีสะดุดตา หรือจะทำโลว์ไลท์ให้ดูกลมกลืนแบบมีมิติก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด รับรองสวยเลิศไม่แพ้ใครเลยค่ะ

        Beauty Tips
            หลังการทำสีต้องหมั่นบำรุงรักษาสภาพเส้นผมด้วยนะ ที่สำคัญต้องเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมสำหรับผมทำสี เพราะจะทำให้เม็ดสีไม่ผิดเพี้ยน แถมยังเป็นสูตร ที่ช่วยบำรุงเส้นผมของคุณได้ล้ำลึกกว่าผลิตภัณฑ์ทั่วไป จากนั้นเสริมด้วยการทำแว๊กซ์เข้าไปอีกนิด เพิ่มความเงางามแก่เส้นผมและทำให้สีสันคงความสวยสะดุดตา อย่าลืมนำเคล็ดลับดีดีอย่างนี้ไปใช้กันนะคะ

ที่มา Woman's Story

แนะสาวออฟฟิศ ..แบบแฟชั่นนิสต้ามือโปร



         เพิ่งผ่านพ้นเทศกาลปีใหม่มาได้ไม่นาน New Year Resolution ของสาวๆหลายคนคือการเริ่มหันมาเปลี่ยนแปลงสไตล์การแต่งตัวไปทำงานให้เข้ากับเทรนด์ในปัจจุบันมากขึ้น
          เวิร์คกิ้งวูแมนจำนวนไม่น้อยนิยมใส่เสื้อผ้าสไตล์แคชชวล เช่น สวมเสื้อยืด เสื้อเชิ้ต และกางเกงยีนส์ไปทำงานเพราะให้ทั้งความคล่องตัวแถมยังสวมใส่สบาย และยังดูเก๋บวกเท่ห์ได้ในเวลาเดียวกัน แต่อย่างไรก็ตามด้วยความที่เป็นเสื้อผ้าสไตล์แคชชวลที่ดูเรียบง่ายนี้เอง ทำให้สาวๆ หลายคนจึงมักละเลยมักไม่ได้ดูแลเอาใจใส่เท่าที่ควร ทำให้เสื้อผ้ามีอายุการใช้งานที่สั้นลง ต้องซื้อเสื้อผ้าบ่อยขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงกับเงินในกระเป๋า 
          ฉะนั้น คอตตอน ยูเอสเอ องค์กรไม่แสวงผลกำไร เพื่อการสนับสนุนและส่งเสริมการบริโภคฝ้ายจากประเทศสหรัฐอเมริกา และคอตตอน อินคอร์ปอเรท องค์กรไม่แสวงผลกำไร เพื่อการบริการด้านข้อมูลและเทคโนโลยี จึงได้นำเคล็ดลับดีในการดูแลเสื้อผ้าให้อยู่กับคุณสาวๆ ไปนานๆ มาฝากกัน
    วันสบายๆ กับเสื้อยืดตัวเก่ง 
          คงไม่มีใครจะปฏิเสธว่าเสื้อยืดเป็นไอเท็มยอดนิยมสำหรับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะสาวๆ ออฟฟิศยุคใหม่ เนื่องจากคุณลักษณะที่สวมใส่ง่าย สบายตัว แถมในปัจจุบันมีการพัฒนารูปแบบ สีสัน และลวดลายต่างๆ มากมาย ทั้งเสื้อยืดธรรมดาๆ เสื้อโปโลคอปก ตลอดจนเสื้อยืดลำตัวยาวที่ถูกดัดแปลงให้เป็นเดรส ซึ่งเป็นที่นิยมมากในกลุ่มสาวๆ ขณะนี้ โดยปกติแล้วเสื้อยืดจะผลิตจากผ้าฝ้ายชนิดถัก (Knit) ซึ่งมีความยืดหยุ่นสูง และระบายอากาศได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเส้นใยฝ้ายแท้ 100% แต่อย่างไรก็ตามเมื่อสวมใส่ไปนานๆ อาจพบปัญหาสีซีดจาง มีรอยขาด หรือเนื้อผ้าจะเริ่มเปื่อยยุ่ย ฉะนั้นเพื่อเป็นการถนอมอายุเสื้อยืดตัวเก่ง สาวๆ ควรให้ความสำคัญตั้งแต่ขั้นตอนการซัก ซึ่งแนะนำว่าควรจะซักด้วยมือ เพราะจะถนอมเนื้อผ้าได้ดีกว่าการซักด้วยเครื่อง โดยเริ่มจากแยกซักผ้าขาวและผ้าสีออกจากกัน ซักในน้ำอุณหภูมิปกติ เพราะหากซักในน้ำร้อน จะทำให้เนื้อผ้าหดตัวและมีรอยยับมากกว่า ควรซักทันทีเมื่อสวมใส่เสร็จ เพื่อป้องกันไม่ให้คราบสกปรกฝักลึกลงเนื้อผ้า และกลับเสื้อด้านในออกมาด้านนอกเพื่อถนอมลวดลายบนเสื้อยืดตัวเก่ง บีบน้ำออกพอหมาดๆ หลีกเลี่ยงการตากโดยใช้ไม่แขวนเสื้อ เพราะอาจจะเกิดรอยบุ๋มขึ้นบนเสื้อได้ แต่หากสาวๆ คนไหนไม่มีเวลามากนัก จำเป็นต้องใช้เครื่องซักผ้าควรจะนำผ้าออกจากเครื่องทันทีที่เสร็จสิ้นการปั่นขั้นตอนสุดท้าย 

        ส่วนขั้นตอนการรีด ให้ใช้อุณหภูมิเตารีดตามที่กำหนด และรีดด้วยความระมัดระวัง หลีกเลี่ยงบริเวณที่เป็นลวดลายสกรีนที่อาจจะได้รับความเสียหายจากความร้อน โดยอาจใช้ผ้าขนหนูวางทับก่อนหนึ่งชั้นก่อนรีด และที่สำคัญควรกลับเสื้อด้านออกก่อนรีด เพราะจะช่วยลดอัตราการซีดจางของสีลงได้ 

     เชิ้ตหลากสไตล์ ความดูดีอย่างมีระดับ 
        สำหรับโอกาสสำคัญๆ อย่างเช่น การไปพบลูกค้า หรือพบปะกับแขกผู้ใหญ่ ที่ต้องอาศัยบุคลิกที่ดูเนี้ยบ เสื้อเชิ้ตเป็น ไอเท็มหนึ่งที่ช่วยคุณได้ และยิ่งในปัจจุบันได้มีออกแบบและพัฒนาให้มีความแปลกใหม่ หลากหลายรูปแบบ ทั้งเดรสเชิ้ต จัมป์สูท ซึ่งความแปลกใหม่นี้เองทำให้ราคาเขยิบสูงขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นคุณผู้หญิงจึงควรใส่ใจดูแลรักษาเสื้อเชิ้ตอย่างพิถีพิถัน จะได้นำไปใส่ได้นานๆ โดยก่อนนำไปซักควรกลับด้านในของตัวเสื้อออกมา ปรับอุณหภูมิของน้ำให้เหมาะสมตามคำแนะนำที่ติดอยู่กับเสื้อ ตากไว้ในที่ร่มที่อากาศถ่ายเทได้ดี แต่หากปั่นแห้งเมื่อปั่นเสร็จให้รีบนำเสื้อออกมาแล้วพับทันทีเพื่อลดรอยยับ ส่วนคราบเปื้อนต่างๆ ให้ลงน้ำยากำจัดคราบบนรอยคราบทันที แต่ก่อนใช้ควรทดสอบกับผ้าอื่นๆ ก่อน ว่าจะไม่กัดสีผ้าส่วนที่ไม่ได้เลอะรอยเปื้อนนั้น แต่หากเป็นคราบเหลืองจากน้ำยาดับกลิ่นกาย ให้ใช้น้ำมะนาวสดทาลงบนรอยคราบ ปล่อยทิ้งไว้แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น ก่อนซักตามปกติ ส่วนคราบจากเครื่องดื่ม หรือน้ำผลไม้ต่างๆ ควรขจัดคราบออกทันทีไม่ควรรอจนถึงเวลาซักผ้า เพราะจะทำให้คราบติดทนจนขจัดไม่ออก และก่อนรีดให้นำเทียนไขมาถูให้ทั่วก่อนบริเวณปกเสื้อก่อนทุกครั้ง เพราะเทียนไขจะช่วยเคลือบบริเวณคอปกเสื้อเชิ้ตไม่ให้ขาดรุ่ยง่าย จากนั้นรีดตามปกติ โดยควบคุมอุณหภูมิไม่ให้ร้อนจนเกินไป และอาจฉีดน้ำช่วยเพื่อให้ผ้าเรียบได้ง่ายขึ้น 

    ยีนส์ ไอเท็มยอดฮิตตลอดกาล 
         เป็นสุดยอดไอเท็มที่ยังคงได้รับความนิยมมาทุกยุคทุกสมัย ที่ไม่ว่าจะเป็นหนุ่มสาวรุ่นเล็ก หรือรุ่นใหญ่จะต้องมีไว้ครอบครองไว้อย่างน้อย 1 ตัว เพราะด้วยทนทานของเนื้อผ้า ประกอบกับความเท่ เก๋มีสไตล์ที่ผ่านการยอมจากบุคคลที่มีชื่อเสียงในหลากหลายวงการ ไม่ว่าจะเป็นดาราจากฝั่งฮอลลีวู้ด ซึ่งในปัจจุบัน ยีนส์ได้ถูกนำมาพัฒนา ผสานนวัตกรรมสมัยใหม่ ทำให้ยีนส์มีรูปแบบที่หลากหลาย สามารถสวมใส่ได้ในเกือบทุกโอกาสอีกด้วย สำหรับสาวกคนรักยีนส์คงไม่อยากที่จะซัก เพราะกลัวยีนส์ตัวเก่งสีจะซีดลง แนะนำให้นำไปผึ่งลมในที่อากาศโปร่ง ถ่ายเทสะดวก ไม่ควรวางกองไว้ ซึ่งจะทำให้เกิดกลิ่นอับ และแย่ไปกว่านั้นกางเกงยีนส์อาจจะขึ้นราได้ แต่เมื่อใช้งานมาเป็นเวลาสัก 3-6 เดือน หรือสวมใส่แล้วเกิดอาการคัน ก็ถึงคราวที่จะต้องทำความสะอาดยีนส์บ้างแล้ว โดยการซักเริ่มจากกลับด้านในกางเกงยีนส์ออกก่อน ใส่ถุงตาข่ายก่อนนำเข้าเครื่องซักผ้าด้วยและซักด้วยน้ำเย็น ซึ่งจะช่วยถนอมเนื้อผ้าและเอกลักษณ์ของกางเกงให้คงอยู่เช่นเดิม เมื่อซักเสร็จแล้ว ให้กลับเอาด้านนอกอีกครั้ง แล้วสะบัดกางเกงให้เข้ารูปก่อนตาก ไม่ควรใช้เครื่องอบผ้าเด็ดขาด เพราะอุณหภูมิสูงจะทำให้สีของยีนส์ซีดได้ และอีกข้อควรระวัง คือ หากมีรอยเลอะเป็นบางจุดแล้วอยากขจัดออก ให้ซักทั้งตัว อย่าพยายามซักออกเฉพาะจุด เพราะอาจทำให้ยีนส์กลายเป็นสีกระดำกระด่างได้ 

           หวังว่าเคล็ดลับดีๆ ที่คอตตอน ยูเอสเอ นำมาฝาก จะช่วยให้สาวๆ ถนอมอายุเสื้อผ้าตัวเก่ง แถมถนอมเงินในกระเป๋าได้อีกด้วย 
ขอบคุณ thaiza

10 คำถามกับไวรัสลงกระเพาะ



         คุณพ่อคุณแม่หลายคนคงคุ้นเคย หรือได้ยินชื่อโรคนี้กันอยู่บ่อย ๆ เพราะหลายครั้งที่พาลูกไปหาหมอด้วยเรื่องไข้หวัด น้ำมูกไหล อาเจียน และบ่อยครั้งมีอาการท้องเสียร่วมด้วย
          พอตรวจแล้วคุณหมอก็มักจะบอกว่าลูกเป็นโรคไวรัสหรือหวัดลงกระเพาะ ซึ่งบางครั้งอาการอาเจียน หรือท้องเสียก็รุนแรงมากจนทำให้ลูกทานนมหรืออาหารไม่ได้ มีอาการขาดน้ำรุนแรง จนหมอต้องรับตัวลูกไว้รักษาในโรงพยาบาล และเนื่องจากโรคนี้เป็นโรคที่พบบ่อยมากในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี จนแทบจะพูดได้ว่าเด็กในวัย 5 ปีแรกทุกคนจะต้องเคยเป็นโรคนี้อย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต จึงควรมาทำความรู้จักโรคนี้ เพื่อจะได้ทราบวิธีป้องกันและดูแลรักษาโรคนี้กันดีกว่า
    ไวรัสลงกระเพาะพบบ่อยในเด็กวัยใดและฤดูไหน?
        โรคไวรัสลงกระเพาะมักเป็นในฤดูหนาว พบบ่อยช่วงเดือนตุลาคมถึงกุมภาพันธ์ มักจะเป็นในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี โดยเฉพาะช่วงอายุตั้งแต่ 6 เดือนถึง 2 ปี เพราะเป็นวัยที่มีภูมิต้านทานต่อโรคนี้ต่ำ และมีพฤติกรรมชอบเอาของเข้าปาก

    สาเหตุที่ทำให้เป็นโรคไวรัสลงกระเพาะ?
        โรคนี้เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ส่วนใหญ่เกิดจาก ไวรัสโรตา (Rotavirus) พบได้ถึงร้อยละ 16 ถึง 58 เปอร์เซ็นต์ ของเด็กที่ป่วยเป็นโรคท้องเสีย ที่ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล โรคนี้ติดต่อได้ง่ายโดยเฉพาะทางปาก จาก อาหาร ของเล่น หรือสิ่งแวดล้อมที่อยู่โดยรอบตัว เช่น เชื้อไวรัสจากคนที่ป่วยท้องเสียจะถูกขับออกมาทางอุจจาระ หากขับถ่ายไม่เป็นที่และกำจัดอุจจาระไม่ถูกต้อง อาจทำให้เชื้อโรคออกมาปนเปื้อนกับสิ่งของต่าง ๆ ซึ่งเมื่อเด็กหยิบของนั้นเข้าปาก หรือเชื้อโรคติดกับมือคนที่ดูแลเด็กโดยไม่ได้ล้างมือให้สะอาด ก็จะทำให้เด็กได้รับเชื้อไวรัสนี้เข้าไป

    อาการของโรคไวรัสลงกระเพาะ?
        หลังจากเด็กได้รับเชื้อประมาณ 2-3 วัน จะเริ่มต้นด้วยการมีไข้ คลื่นไส้ อาเจียนและมักจะตามด้วยอาการปวดท้อง ท้องเสียถ่ายอุจจาระเหลว บางคนอาจมีน้ำมูกไหลและไอร่วมด้วย ซึ่งโดยทั่วไปอาการไข้และอาเจียนมักจะหายเองภายใน2-3วันส่วนอาการท้องเสีย มักเป็นอยู่ประมาณ 3-9 วัน

    ความรุนแรงและอันตรายของโรค?
        อาการอาเจียนและท้องเสียนั้น เด็กบางคนอาจมีอาการไม่รุนแรงเพียงดูแลตามอาการก็จะ ดีขึ้นจนหายไปได้เอง แต่บางรายอาจมีอาการรุนแรง จนทำให้กินอาหารไม่ได้ร่างกายขาดน้ำและเกลือแร่อย่างรุนแรง จนต้องรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล เพราะหากให้น้ำเกลือไม่ทัน อาจจะรุนแรงจนทำให้ช็อกและเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะเด็กที่อายุน้อยกว่า 2 ปี จะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเสียชีวิตมากกว่าเด็กโต เพราะภูมิต้านทานน้อยและตัวเล็กกว่า

        นอกจากนี้ในรายที่เป็นรุนแรง เชื้อไวรัสโรตาจะทำลายเยื่อบุลำไส้ทำให้ลำไส้ขาด ส่งผลให้น้ำย่อยที่ใช้ย่อยน้ำตาลแล็กโตสในนมไม่ทำงาน ทำให้เกิดอาการท้องเสียมากขึ้น ถ่ายเหลว ท้องอืด เวลาถ่ายจะมีแก๊สหรือลมออกมาด้วยหลังจากเด็กกินนมไปไม่นาน และผิวหนังบริเวณก้นรอบทวารหนักจะมีผื่นแดง ถ้ายังให้เด็กกินนมตามปกติ จะยิ่งทำให้มีอาการท้องเสียเรื้อรังไม่หาย และเป็นโรคขาดอาหารได้ ดังนั้นการดูแลรักษาที่ถูกต้องจะช่วยให้ลูกหายเร็วไม่มีอาการแทรกซ้อนรุนแรง จนเกิดผลเสียหรืออันตรายต่อชีวิต

    วิธีดูแลรักษาเบื้องต้นที่บ้านก่อนพาลูกไปหาหมอ?
         ให้ลูกดื่มน้ำเกลือแร่ที่เหมาะสำหรับเด็กท้องเสีย อาจจะเป็นชนิดน้ำหรือผงเกลือแร่ ไม่ควรใช้น้ำอัดลมและน้ำเกลือแร่ชนิดขวดสำหรับนักกีฬาผสม เพราะปริมาณน้ำตาลเกลือแร่ไม่เหมาะสมกับเด็ก ควรให้ลูกจิบ-ดื่มน้ำเกลือแร่ทีละน้อยแต่บ่อย ๆ และไม่ควรให้ลูกดื่มน้ำเกลือแร่ครั้งละมาก ๆ เพราะอาจทำให้ลูกอาเจียนมากขึ้น

    ให้ลูกกินอาหารและนมอย่างไรดีเมื่อลูกอาเจียนและท้องเสีย?
         หากเด็กที่มีอาการท้องเสียไม่มาก ควรให้กินอาหารและดื่มนมตามปกติและไม่ควรเจือจางนม เพราะจะทำให้ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ส่วนเด็กที่ท้องเสียอย่างรุนแรง ควรให้กินอาหารที่ย่อยง่าย เช่น ข้าวต้มหรือโจ๊ก แต่ถ้ามีอาการอาเจียนควรให้กินอาหารครั้งละน้อย ๆ แต่บ่อย ๆ เพื่อไม่ให้กระเพาะ ตึงและช่วยลดอาการอาเจียนลงได้ ควรงดผัก ผลไม้ และน้ำผลไม้ เพราะอาจทำให้อาการท้องเสียมากขึ้น แต่กรณีที่ลูกไม่สามารถย่อยน้ำตาลแล็กโตสได้ หมอจะเปลี่ยนเป็นนมวัวหรือนมถั่วเหลืองแทนประมาณ 3-7วัน เพราะไม่มีน้ำตาลแล็กโตส เมื่อเด็กหายเป็นปกติแล้วก็สามารถกลับมากินนมชนิดเดิมได้

    ไม่ควรให้ลูกกินยาประเภทใด?
          กรณีที่ลูกมีอาการปวดท้องและอาเจียน อาจให้ยาแก้ปวดท้อง หรืออาเจียนตามอาการได้ แต่ไม่ควรให้กินยาแก้อักเสบหรือยาปฏิชีวนะ เนื่องจากโรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัส การกินยาปฏิชีวนะจึงไม่ช่วยให้โรคนี้หายเร็วขึ้น แต่กลับจะมีผลเสียและผลข้างเคียงทำให้อาการท้องเสียมากขึ้น และหายช้าลง เพราะผลข้างเคียงจากยา เช่น Amoxycilin, Augmentin ส่วนยาแก้ท้องเสีย จะยิ่งทำให้เชื้อโรค หรือสารพิษคั่งค้างอยู่ในลำไส้นานขึ้น

    เมื่อไหร่จึงควรพาลูกไปหาหมอ?
          หากอาการอาเจียน หรือท้องเสียไม่ดีขึ้น และลูกเริ่มมีอาการขาดน้ำอย่างรุนแรง เช่น ปากแห้ง กระหม่อมหรือเบ้าตายุบ ไข้สูง ซึมลง กระวนกระวาย หอบเหนื่อย ปัสสาวะน้อยลง หรืออาการท้องเสียไม่ดีขึ้นภายใน 3-5 วัน เป็นเรื้อรัง เป็น ๆหาย ๆ ถ่ายเป็นมูกเลือด หรือมีอาการที่คุณพ่อคุณแม่ไม่แน่ใจควรพาลูกไปพบแพทย์โดยด่วน

    หมอทำอย่างไร เมื่อรับตัวเด็กท้องเสียไว้รักษาตัวที่โรงพยาบาล?
         เด็กที่มีอาการอาเจียนหรือท้องเสีย จนมีอาการขาดน้ำหรือเกลือแร่อย่างรุนแรง หมอจะรีบให้น้ำเกลือแร่เข้าหลอดเลือดดำ เพื่อแก้ไขภาวะขาดน้ำและเกลือแร่นั้นให้สู่ภาวะปกติ จะตรวจอุจจาระเพื่อหาสาเหตุว่าเกิดจากเชื้อโรคอะไรเพื่อจะได้ รักษาให้ถูกต้อง ตรวจเลือดเพื่อดูว่า ระดับเกลือแร่ในเลือดมีความผิดปกติมากน้อยเพียงใด เพื่อจะได้ปรับความเข้มข้นของเกลือแร่ในน้ำเกลือให้เหมาะสม

         เมื่อเด็กพ้นภาวะวิกฤตฉุกเฉิน เช่น ภาวะช็อก ระดับเกลือแร่ในเลือดผิดปกติ หมอจะพิจารณาเริ่มให้ลูกดื่มน้ำเกลือแร่ กินอาหารอ่อน แล้วจึงเปลี่ยนเป็นอาหารปกติ และดื่มนม เช่น นมแม่ หรือนมชนิดเดิมตามความเหมาะสม แต่ถ้าหากเด็กมีปัญหาไม่สามารถย่อยน้ำตาลแล็กโตสได้ จะพิจารณาให้นมที่ไม่มีน้ำตาลแล็กโตสแทนประมาณ 3-7 วัน เมื่ออาการถ่ายดีขึ้นจึงจะพิจารณาให้กลับมากินนมเดิมที่เคยทานอยู่ต่อไป

    วิธีป้องกันไม่ให้เป็นโรคไวรัสลงกระเพาะ?

     
วิธีป้องกันที่ดีที่สุด ได้แก่
       ขับถ่ายอุจจาระลงส้วมให้ถูกสุขลักษณะ ไม่ให้ออกมาปนเปื้อนกับอาหารหรือสิ่งแวดล้อม ต้องล้างมือให้สะอาดหลังขับถ่าย

       ควรต้มหรือนึ่งขวดและจุกนมอย่างน้อย 5-10 นาที เพื่อฆ่าเชื้อโรคก่อนใช้ทุกครั้ง และควรรับประทานอาหารที่สะอาดและสุกแล้ว


          ปัจจุบันเริ่มมีการผลิตวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโรตาแล้วครับ วัคซีนบางชนิดกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา บางชนิดอยู่ระหว่างการทดสอบประสิทธิภาพ และบางชนิดเพิ่งได้รับการจดทะเบียน และเฝ้าติดตามประสิทธิภาพในการป้องกันโรค และความปลอดภัยของวัคซีน คาดว่าคงจะมีการนำเข้ามาใช้ในอนาคต แต่ก่อนจะรอให้วัคซีนมา การป้องกันและดูแลลูกน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด



ที่มา ModernMoM

อาหารทดแทน: ทางเลือกของเด็ก ‘แพ้’


           "จะทำยังไงดี ลูกพี่กินอะไรก็ไม่ได้ นั่นก็แพ้ นี่ก็แพ้ นี่ไม่รู้จะทำอะไรให้ลูกกินแล้วนะ" เสียงบ่นจากคุณแม่คนหนึ่ง ที่ลูกน้อยแพ้อาหารอยู่หลายชนิดเลยค่ะ จนเกิดอาการตัน คิดไม่ออกว่าจะทำอะไรให้เจ้าตัวเล็กกินดี แม่ ๆ บางคนคงประสบปัญหาแบบนี้อยู่เหมือนกันใช่ไหมคะ เรามาทำความรู้จักกับการแพ้อาหารของลูก พร้อมกับอาหารทดแทนที่เหมาะกับลูกเรากันเถอะค่ะ
   ทำไมลูกรักถึงแพ้อาหาร    
           การแพ้อาหารเป็นภาวะภูมิแพ้ชนิดหนึ่ง ที่เกิดจากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นจากกรรมพันธุ์ ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของลูกซึ่งไม่ทนทานต่ออาหารที่แพ้ หรือเกิดจากปฏิกิริยาที่ไวต่ออาหารนั้น ๆ เพราะมีการกระตุ้นจากระบบภูมิต้านทานของร่างกาย โดยอาการแพ้เหล่านี้มักจะพบได้บ่อยในช่วงขวบปีแรก

         อาการแพ้อาหารของเด็กแต่ละคนแตกต่างกันไป ในเรื่องของระดับของความรุนแรง ระยะเวลาที่เกิดอาการ ไปจนถึงปริมาณอาหารที่ได้รับ นอกจากนี้ อาหารบางชนิดถ้าแพ้แล้วอาจแพ้ตลอดไป แต่บางชนิดอาจหายได้เมื่อลูกโตขึ้น

      สำหรับอาการแพ้เกิดขึ้นได้กับทุกระบบของร่างกาย แต่ที่พบบ่อย คือ
      ระบบทางเดินอาหาร อาการแพ้ คือ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง อาหารไม่ย่อย ท้องเสีย ปากบวมเจ่อ คันบริเวณริมฝีปาก

      ระบบผิวหนัง อาการที่พบบ่อยคือ มีผื่นคัน ตุ่มแดง ลมพิษ บริเวณผิวหนังหรือตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย

      ระบบทางเดินหายใจ อาการที่พบคือ คัดจมูก น้ำมูกไหล จาม คันในจมูก คอแห้ง หายใจลำบาก แน่นหน้าอก หอบ มักพบร่วมกับอาการทางระบบทางเดินอาหารหรือผิวหนัง

         ลองสังเกตดูว่า เจ้าตัวเล็กมีอาการแบบนี้บ้างหรือเปล่า ถ้ามีอาจเข้าข่ายแพ้อาหารบางชนิดแล้วค่ะ ควรพาลูกไปทดสอบว่า แพ้อาหารชนิดไหนบ้าง และพยายามหลีกเลี่ยงอาหารชนิดนั้น

     Top 6 Baby’s food allergy     
         มีอาหารอยู่หลายกลุ่มที่เด็ก ๆ ขวบปีแรกมักจะแพ้กัน เราเลยรวบรวม Top 6 Baby’s food allegy อาหาร 6 กลุ่มที่เจ้าตัวเล็กแพ้กันอยู่บ่อย ๆ มาให้แม่ๆ ได้รู้จักกัน แต่ใช่ว่าแพ้อาหารชนิดไหนแล้ว จะขาดสารอาหารที่ควรได้รับจากอาหารชนิดนั้นไปเลย เพราะเรามีทางเลือก อาหารบางอย่าง สามารถทดแทนและเติมเต็มประโยชน์ตามที่ร่างกายต้องการได้เหมือนกัน มีอะไรบ้าง มาดูกันเลยค่ะ

    1. นมแม่ทดแทนนมวัว          ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ที่เราคุ้นเคยกันดี คงเป็นอาหารจำพวกชีส โยเกิร์ต ครีม นั่นแหละค่ะ การแพ้ก็อาจมาจาก 2 สาเหตุหลักคือ พันธุกรรม และการแพ้โปรตีนเวย์ เคซีน และ b–lactoglobulin ซึ่งเป็นการแพ้โปรตีนนมวัว หรือที่เรียกว่า Cow Milk Protein Allergy ที่ทำให้มีอาการผิดปกติทางระบบทางเดินอาหาร และอาจจะมีอาการทางผิวหนัง หรือระบบทางเดินหายใจร่วมด้วย

      ทางเลือก : นมแม่ นมถั่วเหลือง หรือนมไก่ โปรตีนในนมทางเลือกเหล่านี้ ย่อยและดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายกว่านมวัว แต่มีสารอาหารใกล้เคียงกัน จึงสามารถทดแทนกันได้
    2. เนื้อไก่ทดแทนถั่วลิสงและถั่วเหลือง
         นอกจากพันธุกรรมแล้ว ไกลโคโปรตีนในถั่วลิสงอาจเป็นสาเหตุของการแพ้อาหารชนิดนี้ได้ด้วย อาการที่พบเมื่อเกิดการแพ้คือ อาเจียน เป็นลมพิษ บางรายที่แพ้มาก ๆ อาจหายใจลำบากมากขึ้น

         ส่วนการแพ้ถั่วเหลือง อาจเกิดจากการแพ้โปรตีนที่เมล็ดถั่วเหลืองเก็บสะสมไว้เป็นอาหาร เพื่อการเจริญเติบโตของเมล็ดถั่วเอง และอาจเกิดจากการกินอาหารของแม่ในช่วงตั้งครรภ์หรือให้นมลูก เช่น กินนมถั่วเหลืองมากเป็นพิเศษ นี่ก็มีส่วนส่งเสริมให้ลูกมีอาการแพ้ถั่วเหลืองได้เหมือนกัน อาการที่พบได้ คือ มีผดผื่นขึ้นตามตัว

        ควรหลีกเลี่ยงอาหารและผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของถั่วเหลือง ถั่วสิสง เช่น ซีอิ้ว เต้าหู้ เต้าเจี้ยว เนยถั่ว เค้ก คุกกี้ที่ใส่ถั่ว ควรอ่านฉลากเพื่อตรวจสอบว่ามีส่วนผสมของถั่วที่ทำให้แพ้หรือไม่

      ทางเลือก : สารอาหารที่ทดแทนโปรตีนจากถั่วได้ คือ เนื้อสัตว์ต่างๆ เช่น เนื้อปลา ไก่ แพะ แกะ หมู เนื้อวัว รวมถึงนมวัว
    3. ถั่วเหลืองทดแทนปลาและอาหารทะเลอื่น ๆ
         ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดการแพ้ปลาคือ โปรตีน parvalbumins และ Gad c1 ซึ่งมีอยู่ในเนื้อปลาทุกชนิด ส่วนโปรตีนที่เป็นสารก่อภูมิแพ้สำคัญในสัตว์ทะเลเปลือกแข็ง ประเภทกุ้งและหอย คือ tropomyosin

      ทางเลือก : รับโปรตีนจากแหล่งอื่น เช่น หมู ไก่ สาหร่าย ถั่วเหลือง รวมทั้งปลาน้ำจืด เช่น ปลาช่อน ปลาทับทิม ฯลฯ ซึ่งมีโปรตีนที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกาย คล้ายกับโปรตีนจากเนื้อสัตว์
    4. เนื้อหมูทดแทนไข่
        ส่วนใหญ่เด็ก ๆ มักจะแพ้เฉพาะไข่ขาว แต่เด็กบางคนอาจแพ้ไข่แดงด้วย ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดการแพ้คือ โปรตีนที่อยู่ในไข่ขาวชื่อ ovomucoid, ovalbumin และ ovotransferrin ดังนั้น การให้อาหารเสริมช่วง 6 เดือนจึงควรเริ่มด้วยไข่แดงก่อน

      ทางเลือก : รับโปรตีนชนิดอื่นจากเนื้อสัตว์ทดแทน เช่น หมู ไก่ ปลา แพะ แกะ นม รวมถึงการกินนมตามวัย
    5. แป้งข้าวเจ้าทดแทนแป้งสาลี
        กลูเตนเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่พบมากในอาหารที่ทำจากแป้งสาลี เช่น เค้ก ขนมปังต่างๆ รวมทั้งธัญพืชโดยเฉพาะที่นิยมกินเป็นอาหารเช้า เช่น ซีเรียล ข้าวสาลี ข้าวไรย์ ข้าวบาร์เลย์ และข้าวโอ๊ต นอกจากนี้ กลูเตนยังมีมากในเนื้อสัตว์เทียมที่ทำจากแป้งสาลี ซึ่งพบบ่อยในเทศกาลอาหารเจ ควรอ่านฉลากโภชนาการทุกครั้งก่อนตัดสินใจซื้ออาหารให้ลูก เพราะอาหารบางอย่างดูจากภายนอกอาจไม่รู้ส่วนผสมที่แท้จริง

      ทางเลือก : ควรกินอาหารประเภทแป้งที่ทำจากข้าวเจ้า ข้าวเหนียว แป้งข้าวโพด ซึ่งไม่มีคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนกลูเตน ทำให้ลูกไม่แพ้ แต่ให้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรตเหมือนกัน
         แม้ลูกจะแพ้อาหารบางอย่างหรือหลาย ๆ อย่าง ก็ไม่เป็นอุปสรรคให้แม่อย่างเราถึงทางตันได้หรอก จริงมั้ยคะ
ที่มา Modern Mom

ดนตรีมีดี เพื่อแม่ท้องโดยเฉพาะ



         แม่ท้องจะมีความเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ต้องการให้ดูแลทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ คุณแม่หลายคนต้องเผชิญกับความเครียดจากการอุ้มท้อง กังวลกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในชีวิต ภาวะซึมเศร้า ความอึดอัดจากท้องที่ใหญ่ขึ้นทุกวัน และกลัวการเจ็บปวดจากการคลอด ซึ่งอารมณ์ซึมเศร้าจะส่งผลกระทบถึงสุขภาพของแม่ และส่งต่อไปยังลูกน้อยในครรภ์ได้ เนื่องจากร่างกายจะหลั่งสารแห่งความเครียด หรือฮอร์โมนคอร์ติโซน ทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายลดลง ร่างกายอ่อนแอ และไม่สบายได้ง่าย
        การนำดนตรีเข้ามาใช้กับคุณแม่ท้อง มีส่วนช่วยให้คุณแม่ผ่อนคลาย และส่งให้ลูกในท้องเติบโตอย่างมีความสุขด้วย Modern Mom ไปคุยกับครูเชอรี่–นุชนารถ วัฒนศัพท์ ครูสอนร้องเพลงและดนตรีสำหรับเด็ก HUG School Creative Arts และอาจารย์พิเศษ ภาควิชาดนตรีสากล คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ถึงประโยชน์ของดนตรีต่อแม่ท้อง และกิจกรรมดนตรีที่คุณแม่สามารถทำได้ง่ายๆ แม้ไม่ทักษะมาก่อน

ดนตรีช่วยคุณแม่ได้
        คุณแม่สามารถสร้างดนตรีได้เองจากการเล่นเครื่องดนตรีเอง การร้องเพลง (Active) และการฟัง(Receptive) ในการบรรเทาอาการต่าง ๆ ซึ่งดนตรีมีดีสำหรับแม่ท้องดังนี้ค่ะ

     1. ทำให้แม่ท้องมีความสุข อารมณ์สดชื่น ช่วยให้ลูกได้รับสารอาหารและออกซิเจนอย่างเต็มที่ เป็นผลดีต่อการเจริญเติบโตในครรภ์
     2. ช่วยปรับอารมณ์ ดนตรีที่อ่อนโยนจะช่วยให้แม่รู้สึกผ่อนคลาย ลดความเครียด ความกังวล และภาวะซึมเศร้าได้ ดนตรียังช่วยสร้างบรรยากาศให้แม่ได้หลีกหนีจากความวุ่นวาย และมีโลกส่วนตัวตามที่ต้องการได้
     3. ช่วยปรับร่างกาย การเลือกใช้ดนตรีที่เหมาะสมมาใช้ร่วมกับการเคลื่อนไหว จะช่วยให้แม่ได้ปรับสภาพร่างกาย ให้การไหลเวียนโลหิตดีขึ้น และเตรียมความพร้อมและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อสู่การคลอดที่มีคุณภาพ
     4. ช่วยให้การหายใจและการเต้นของหัวใจของแม่สม่ำเสมอ มีความดันโลหิตสูบฉีด และการบีบตัวของกล้ามเนื้อทำงานประสานกันดี ตลอดการหลั่งสารฮอร์โมนเอ็นดอร์ฟิน สารแห่งความสุข ซึ่งมีผลต่อการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย และช่วยลดระดับฮอร์โมนคอร์ติโซนที่ทำให้เกิดความเครียดได้ การร้องเพลงก็เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้คุณแม่ได้หายใจลึกขึ้น และเป็นจังหวะ ทั้งยังได้ฝึกกล้ามเนื้อกระบังลมให้แข็งแรง มีระบบการย่อยอาหารที่ดี
     5. ช่วยทำให้แม่ได้กระตุ้นให้ลูกพัฒนาระบบการฟัง สมองทั้งซีกซ้ายและขวาของคุณแม่มีการทำงานประสานกันดี
     6. ช่วยสร้างความสัมพันธ์แม่-ลูก ดนตรีเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการสื่อสัมพันธ์ไปยังลูกในท้อง รวมไปถึงการสร้างความสัมพันธ์พ่อ-แม่-ลูกช่วยให้ลูกรู้สึกอบอุ่นใจ มีความผูกพันและมีความรู้สึกที่ดีต่อแม่
     7. ช่วยให้แม่ตัดความกังวล ลดความเจ็บปวด ลดความตึงเครียด เช่น ในการเจ็บครรภ์ในระหว่างรอคลอด คุณแม่สามารถฟังเพลงบรรเลง และหายใจผ่อนคลายกล้ามเนื้อในส่วนต่างของร่างกายไปตามจังหวะขณะมดลูกบีบตัว ซึ่งจะส่งผลช่วยให้ลูกได้รับออกซิเจนอย่างเต็มที่

กิจกรรมดนตรีเพื่อแม่ท้อง
         ส่วนกิจกรรมดนตรีที่คุณแม่สามารถทำได้นั้น มีหลากหลายวิธีไม่ใช่แค่การฟังเพลงอย่างเดียว แต่จะมีอะไรบ้างต้องติดตาม รับรองว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ยากเลยค่ะ

       1. ฟัง คุณแม่ต้องเลือกฟังเสียงดนตรีที่ฟังแล้วนุ่มนวล รื่นหู สบายอารมณ์ มีเนื้อร้องในเชิงบวก หรือเพลงบรรเลง เพลงคลาสสิก ดนตรีไทยคลาสสิก แจ๊ซ สิ่งสำคัญคือฟังสิ่งที่คุณแม่มีความสุข เพียงแต่ควรต้องละเอียดในการเลือกเพลงฟังให้มากขึ้น

       2. ร้อง ช่วงเวลาที่ตั้งครรภ์นั้น คุณแม่จะสังเกตได้ว่า ลูกจะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเสียงเพลงที่เขาคุ้นเคย การที่ได้ร้องเพลงหรือแต่งเพลงพิเศษขึ้นในโอกาสต่างในชีวิตประจำวัน เพื่อร้องให้ลูกฟังบ่อยๆ โดยเลือกเพลงที่มีเนื้อหาที่มีความหมายที่ดี ขณะที่ร้องก็ลูบท้องและสัมผัสหน้าท้องไปด้วย เปรียบเสมือนเล่นกับลูกและพูดคุยไปด้วยค่ะ โดยให้สัมผัสตามจังหวะของเพลง ความดัง-เบาของดนตรีและน้ำหนักของเสียงร้อง หากเป็นเพลงที่มีเนื้อเพลง คุณแม่จะรู้สึกเพลิน สนุกขึ้นมากไปกว่าการฟังเพลงหรือการฮัมเพลงอย่างเดียว

         เมื่อลูกได้คลอดออกมา คุณแม่ร้องเพลงที่เคยร้องให้ฟังเป็นประจำตอนลูกอยู่ในท้อง ลูกก็เป็นแบบนั้นจริงๆค่ะ เป็นเด็กอารมณ์ดี ยิ้มเก่ง เลี้ยงง่าย ไม่งอแงค่ะ คุณแม่ไม่ต้องกังวลว่าเสียงไม่เพราะนะคะ ลูกชอบฟังเสียงคุณแม่อยู่แล้วค่ะ แถมลูกได้ฝึกฟัง เพิ่มพูนพัฒนาการทางภาษาไปด้วย

       3. เล่น คือการเล่นกับลูกโดยใช้ดนตรี เช่น เพลง Dance Of The Hours (Playtime Music Box :The Baby Einstein Music Box Orchestra) สามารถเล่นกับลูกได้โดยการเคาะตามจังหวะทำนอง จำแนกเสียงเครื่องดนตรีไปที่บริเวณหน้าท้อง หรือใช้เพลง Raimond Lap : Lovely Baby Mozart และ Lovely Baby Magic (Disc 2) เป็นอัลบั้มที่น่ารัก มีเสียงเด็กๆ ฝึกให้ลูกในท้องฟังส่วนประกอบของดนตรีที่หลากหลาย รวมทั้งมีเพลงคลาสสิกที่เอามาทำให้น่าสนใจขึ้น โดยใส่เสียง Background เช่นเสียงน้ำไหล หรือเพลง Head Sholders Knees and Toes ก็สามารถนำมาเล่นกับลูกได้ เช่น ในไตรมาสท้าย คุณแม่ใช้นิ้วมือจักจี้ไปที่อวัยวะที่ลูกเป่งตัว โก่งตัวออกมา แล้วร้องเพลงทายว่าอวัยวะนี้ของลูกคือส่วนไหน หรือถ้าลูกเกร็งตัวจนทำให้คุณแม่รู้สึกอึดอัด ให้เลือกเพลงที่ผ่อนคลาย แล้วหายใจเข้าออกตามจังหวะเพลงพร้อมลูบท้องเบาๆ เช่นเพลง Fetus Dance ในอัลบั้ม Pregnancy Relaxation Moods หรืออาจจะเปิดเพลงซักท่อนหนึ่งแล้วหยุดแล้วให้คุณแม่ลองเดินตามจังหวะคำร้อง หรือท่วงทำนอง หนักเบา ช้าเร็ว ให้คุณแม่กับคุณลูกได้สื่อสารกันผ่านโลกแห่งดนตรีโดยไม่ต้องใช้คำพูดใดๆ

      4. เคลื่อนไหวประกอบการฟังเพลง เช่น การเต้นรำ การเต้นรำอย่างอิสระ(Free Dancing) สามารถทำได้โดยคุณแม่ไม่ต้องมีพื้นฐานการเต้น เพียงแต่ใช้มือ 2 มือของแม่โอบรองรับท้องไว้แล้วเคลื่อนไหว เต้นรำไปกับจังหวะเสียงเพลงที่ได้ยิน คุณพ่ออาจเข้ามามีส่วนร่วมได้ โดยอยู่ทางด้านหลังคุณแม่ช่วยโอบอุ้มท้องคุณ แม่ไว้ และรองรับ support น้ำหนักที่หลังคุณแม่ พร้อมเคลื่อนไหวไปด้วยกัน หรือในตอนเช้า ตื่นขึ้นนอนจากเตียง คุณแม่ส่วนใหญ่จะต้องเผชิญกับอาการปวดหลัง การทำท่า Cat&Dog โดยวิธีโยคะเป็นการยืดกล้ามเนื้อที่ได้ผลมาก ให้เลือกเพลงที่เป็นเพลงบรรเลง จังหวะค่อนข้างช้า สม่ำเสมอ เช่นเพลง Temple Of The Dawn ของ Koh Mr.Saxman เครื่องดนตรีที่ใช้อาจเป็นชนิดเครื่องเป่า เช่น แซ็กโซโฟน หรือฟลุต ก็จะช่วยการฝึกการหายใจ ให้รู้สึกผ่อนคลายมาก ๆ เป็นฝึกเตรียมการหายใจ และการผ่อนคลายของกล้ามเนื้อให้พร้อมในวินาทีการรอคลอดหรือปวดท้องคลอด

        หลายคนอาจได้ลองฝึกเต้นระบำหน้าท้อง Belly Dance เพลงที่ใช้มักจะเป็นในรูปแบบจังหวะกลองที่หลากหลาย ช่วยให้คุณแม่ผ่อนคลายกล้ามเนื้อหน้าอกส่วนบน ท้อง และสะโพกได้ และได้รูปร่างที่ดีในช่วงตั้งครรภ์ด้วย ท่าที่ช่วยได้มากคือการเต้นไปในทิศทางเหมือนเครื่องหมาย Infinity ทั้งในแนวนอนและแนวดิ่ง หรือการเต้นรำในแบบ Latin เช่น Salsa เป็นการเต้นที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศคิวบา ถือเป็นการออกกำลังกายที่ดีมาก เพราะจะได้เคลื่อนไหวและใช้อวัยวะทุกส่วนของร่างกาย ขาของคุณแม่จะแข็งแรง เพราะเป็นส่วนที่รับบทหนักที่สุด รองลงมาคือก้นและสะโพก กล้ามเนื้อตั้งแต่หน้าท้องลงไปจะได้ใช้ทั้งหมด บรรยากาศเพลงที่เลือกใช้ในการเต้นควรไม่เร็วจนเกินไป สนุกสนาน ครื้นเครง ช่วยให้คุณแม่กระฉับกระเฉงมากขึ้น เพราะมีเสียง Percussion ที่มีสีสันและหลากหลาย

     5. สร้างสรรค์งานศิลปะ กิจกรรมที่อยากแนะนำอีกหนึ่ง คือ ให้คุณแม่เปิดเพลงต่างๆ แล้วลองสร้างสรรค์ผลงานศิลปะตามจินตนาการทางการได้ยิน ขณะเดียวกันพูดคุยกับลูกไปด้วย

ความสุขจากแม่สู่ลูก
        สิ่งที่คุณแม่ท้องรู้สึกและสัมผัสได้ ย่อมส่งผลต่อไปถึงลูก การที่คุณแม่ได้ฟัง ร้อง เล่นดนตรี ที่ทำให้คุณแม่รู้สึกแจ่มใส มีความสุขก็ย่อมทำให้การพัฒนาของลูกดีตั้งแต่อยู่ในครรภ์ค่ะ

        ร่างกายแม่ผ่อนคลาย ช่วยให้การไหลเวียนเลือดดีขึ้น มดลูกคลายตัว ทำให้ลูกอยู่อย่างสุขสบายในครรภ์ ได้รับสารอาหาร และออกซิเจนอย่างเต็มที่ สภาพจิตใจของแม่ ส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพกายของแม่ ซึ่งสุดท้ายก็จะไปมีผลต่อลูกในท้อง ความผิดปกติบางอย่างของลูก มีความเกี่ยวข้อองกับสภาพจิตใจแม่ระหว่างตั้งครรภ์ อย่างที่มีนักวิจัยพบว่า ลูกที่เป็นออทิสติกสัมพันธ์กับแม่ที่มีภาวะความเครียดสูงระหว่างตั้งครรภ์ และดนตรียังมีส่วนช่วยให้ลูกที่คลอดออกมาแล้วเลี้ยงง่าย เพราะเขามีความคุ้นเคยกับดนตรี และรู้จักการตอบสนองต่อดนตรีตั้งแต่ในท้อง เราจึงสามารถนำดนตรีมาใช้ในการเลี้ยงลูกอย่างได้ผลดี

         จะเห็นได้ว่าการนำดนตรีเข้าใช้ในชีวิตคุณแม่นั้นมีประโยชน์ และสามารถทำได้ไม่ยาก ให้น่าไปลองทำกันนะคะ 


ที่มา Modern MoM

ท่าอุ้มของพ่อ ที่ลูกน้อยชอบที่สุด



         ชื่อว่าคุณพ่อทุกคน ย่อมต้องมีท่าอุ้มที่เจ้าตัวน้อยสุดที่รักชอบสุด ๆ เป็นท่าประจำตัวที่ขอสงวนลิขสิทธิ์ และใครจะเอาอะไร มาแลกก็ไม่ยอมเชียวล่ะ แหม...ก็เป็นท่าอุ้มโดนใจลูกนี่นา
ไบรอน บิชอพ (ไบรอน) คุณพ่อน้องเลล่า วัย 9 เดือน
         น้องเลล่าจะชอบให้ผมอุ้มในท่าแบบหันหน้าเขาออกด้านนอกครับ เพราะเวลาที่ผมอุ้มแบบพาดไหล่ทีไร ก็จะพยายามหันหน้าออกเพื่อดูว่า มีอะไรอยู่ข้างหน้าเหมือนกับว่า เขาจะเป็นเด็กที่ช่างสังเกตสนใจในทุกสิ่งทุกอย่าง อยากเห็นในสิ่งที่ผมได้เห็น แต่มีบางครั้งในเวลาที่เขาง่วง อกกับแขนของเราก็จะเปรียบเสมือนกับเก้าอี้เล็ก ๆ ที่เอาไว้ให้เขาได้เอนหลัง หัวเขาก็จะได้พิงอกเรา มือเล็ก ๆ ของเขาก็มาเกาะแขนเรา ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นมากเลยครับ น้องเลล่าเป็นลูกสาวที่น่ารักมาก ผมรักลูกสาวคนนี้มาก และก็หลงมากด้วย โดยเฉพาะช่วงขวบปีแรกเป็นวัยกำลังน่ารัก ขี้อ้อน ผมกับซินดี้ก็ยิ่งพยายามใช้เวลาอยู่กับลูกในช่วงเวลานี้ ให้มากที่สุด เพราะตลอดเวลาที่ได้อยู่กับน้องเลล่า เราทั้งคู่มีความสุขมาก ๆ ครับ

ปริยะ วิมลโนช (เตอร์) คุณพ่อน้องตั้งตา วัย 1 ขวบ
        ที่ผมชอบอุ้มน้องตั้งตาเป็นพิเศษเลยก็คือ ท่าอุ้มในลักษณะที่ให้เขาหันหน้าออก คือหลังของเขาติดกับท้องของเรา แขนขวาช้อนก้น แขนซ้ายล็อกใต้รักแร้ แล้วอุ้มแบบหลวม ๆ หน่อยครับ ซึ่งเวลาผมอุ้มท่านี้ทีไร น้องตั้งตาจะชอบมากครับ เขาจะชอบเต้น ๆ ดีดตัวไปมา ผมจะโยกขึ้นโยกลงเล็กน้อย เขาจะรู้สึกสนุก ร้องกรี๊ด ๆ ทุกครั้งเลย ผมคนเดียวด้วยนะครับที่เขายอมให้อุ้มท่านี้ คนอื่นไม่สามารถอุ้มท่านี้ได้เวลาที่ผมอุ้มทีไร น้องตั้งตาจะยิ้มมีความสุขตลอดเวลา

         คุณแม่ชอบบอกว่าเวลาลูกอยู่กับพ่อลูกดูมีความสุขมาก ซึ่งมันก็ทำให้ผมรู้สึกดีใจ และรู้สึกมีความสุขไปด้วย เพราะผมคิดว่าเวลาที่เราทำอะไรให้เขา แล้วเขามีความสุข เขายิ้มตอบกลับมา รอยยิ้มของเขานั่นแหละครับที่ทำให้ผมมีความสุข ความเหนื่อยของผมหายเป็นปลิดทิ้งเลยครับ

สุพจน์ จันทร์เจริญ (ลิฟต์) คุณพ่อน้องพราว วัย 3 เดือน
        จริง ๆ ท่าอุ้มที่น้องพราวชอบมีหลายท่านะครับ แต่ที่ชอบมากที่สุดดูเหมือนจะเป็นท่าอุ้มแบบหันหน้าเขาออกจากตัวผม เพราะตอนนี้น้องพราวอายุเพิ่งจะครบ 3 เดือน แต่คอเริ่มแข็งแล้ว เขาก็จะชอบหันหน้าออก ทำให้ในเวลาที่ผมอุ้มเขาเดิน เขาก็จะรู้สึกว่าได้เห็นอะไรเหมือนที่เราเห็นครับ มีอีกท่าหนึ่งที่ผมจะชอบใช้เวลาที่เขาง่วง คือท่าที่ผมอุ้มเขาในลักษณะแบบนอนครับ คือตัวและหัวของเขาจะอยู่บนแขนของผม แล้วผมก็จะยกแขนสูงขึ้นมานิดหนึ่ง คล้ายเป็นหมอนหนุนให้เขา เขาจะรู้สึกหลับสบายไม่งอแงเลยครับ หรือในเวลาที่ผมนอนอยู่ ผมก็จะชอบอุ้มน้องพราวมานั่งบนตัวผม แล้วเราก็จะมองหน้าหยอกล้อกัน ยิ้มให้กัน แล้วเขาก็จะยิ้มมีความสุข ผมก็มีความสุขเหมือนว่าเราเห็นหน้ากันเต็ม ๆ ทั้งพ่อทั้งลูก

วศิน เตชะรัตนไชย (ธันว์) คุณพ่อน้องพอใจ วัย 5 เดือน
         ในช่วง 2 เดือนแรก ตอนนั้นผมยังอุ้มไม่ค่อยเก่งสักเท่าไหร่ ท่าที่ผมใช้ก็เลยเป็นท่าอุ้มนอนธรรมดาครับ แต่ตอนนี้ท่าอุ้มที่ผมถนัดที่สุด และน้องพอใจก็ชอบเป็นพิเศษ ก็คือท่าอุ้มแบบพาดบ่า เพราะเวลาที่ผมอุ้มเขาในท่าแบบนี้ น้องพอใจจะชอบดูมีความสุข แล้วก็จะรู้สึกสบายทุกครั้ง โดยเฉพาะตอนที่คุณแม่ให้นมเสร็จ เขาก็มอบหน้าที่ให้ผมอุ้ม น้องพอใจก็จะได้เรอ เขาก็จะสบายตัวมากขึ้นครับ แล้วในขณะที่ผมอุ้ม ผมก็จะชอบยิ้มให้เขา เวลาที่เราหยอกล้อกันเราก็จะยิ้มให้กัน ผมจะชอบสอนเขายิ้มครับ เพราะผมมีความรู้สึกว่า เวลาที่เขาเห็นผมยิ้ม เขาก็ยิ้มมีความสุข แล้วมันยิ่งทำให้ใจของผมยิ้มมีความสุขตามไปด้วยครับ สำหรับผมแล้ว น้องพอใจถือเป็นของขวัญที่ผมพอใจที่สุด และดีใจที่สุดเลยครับ
ที่มา รักลูก

เลือกสร้อยคออย่างไรให้สวยเด้ง



        สร้อยคอคือเครื่องประดับที่มีส่วนช่วยปรับลุคของคุณได้ มาเลือกสวมสร้อยคอที่เหมาะกับคุณกันเถอะ
     คอยาวระหง สร้อยสั้นแบบคอลลาร์ เหมาะกับคุณ เพราะจะช่วยเน้นให้ลำคอสวยเด่นยิ่งขึ้น
     คอสั้น เลือกสร้อยเส้นยาว หรือสร้อยที่มีจี้แบบปล่อยชายลงมา 2 ชาย จะช่วยเพิ่มความยาวให้คอคุณได้
     สาวร่างเล็ก เลือกสร้อยเส้นเล็กแบบมีจี้ห้อยให้ดูสวยน่ารักอย่างลงตัว
     สาวร่างใหญ่ เลือกสร้อยเส้นโตเพื่อให้รับกับรูปร่างคุณ เพราะหากใส่สร้อยเส้นเล็ก สร้อยก็จะดูไม่เด่น



ขอบคุณ Lisa

"เซ็กซ์ฝืน" เสี่ยงอันตราย!



        เซ็กซ์ก็เหมือนทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิต มีทั้งทุกข์บ้าง สุขบ้าง การจะสมหวังในเซ็กซ์ต้องมีการสื่อสาร และรับมือกับปัญหาต่าง ๆ ด้วยความพยายาม อดทน และลองผิดลองถูก แต่การมีเซ็กซ์ที่ต้องฝืน 8 เรื่องต่อไปนี้ คุณไม่ควรลอง เพราะอาจจะพาคุณไปจบที่โรงพัก หรือโรงพยาบาลได้
    1. เซ็กซ์ฝืนใจ 
        เป็นเรื่องธรรมดาที่ความต้องการทางเซ็กซ์ของคู่แต่งงานไม่สอดคล้องกัน อาจจะเพราะอุปนิสัย บุคลิก การทำงาน การออกกำลังกาย ความเหน็ดเหนื่อย สภาพร่างกายที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำเมื่อฝ่ายหนึ่งเกิดความต้องการแต่อีกฝ่ายไม่เกิด คือ ช่วยอีกฝ่ายให้พ้นจากอารมณ์ความต้องการ เช่น ช่วยให้ช่วยตัวเอง หรือใช้เซ็กซ์ทอยช่วยก็ได้

    2. เซ็กซ์ฝืนรสนิยม 

        รสนิยมทางเซ็กซ์ เช่น ทำรักด้วยปาก หรือทางประตูหลัง ไม่ได้ถือว่าเป็นความผิดปกติ ข้อดีคือ ไม่ทำให้ตั้งครรภ์ และทำให้เซ็กซ์มีความสุขขึ้นสำหรับคนที่มีรสนิยมต้องกัน แต่มีข้อเสียคือ ถ้าหากไม่ใช้ถุงยางอนามัย รสนิยมทางเซ็กซ์เหล่านี้ อาจทำให้ติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ทุกชนิด เช่น หนองในแท้ หนองในเทียม เริม เชื่อเอชพีวีที่ก่อมะเร็งปากมดลูก หูดหงอนไก่ เป็นต้น

    3. เซ็กซ์ฝืนสรีระ 

         ไม่น่าเชื่อว่าจะมีการบาดเจ็บจากเซ็กซ์ เพราะการฝืนสรีระจำนวนไม่น้อยที่ต้องเข้ารักษาแบบฉุกเฉินในโรงพยาบาลแต่ละปี เกิดจากขนาดที่ไม่เหมาะสมกัน กระทำรุนแรง ใช้วัสดุ หรือเซ็กซ์ทอยที่ไม่เหมาะสมสอดใส่ภายใน จนทำให้อวัยวะเพศภายนอก และภายในของฝ่ายหญิงฉีกขาด อวัยวะเพศชายห้อเลือด หัก บาดเจ็บเป็นแผล

        ดังนั้นจึงไม่ควรฝืนสรีระ หากขณะมีเพศสัมพันธ์ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเจ็บปวด มีเลือดไหลออกมา ต้องรีบหยุดกิจกรรมนั้นทันที แล้วรอดูอาการชั่วครู่ ถ้ายังเจ็บ หรือเลือดไหลไม่หยุด ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

    4. เซ็กซ์ฝืนทิศทาง 

        ทิศทางของการมีเซ็กซ์ต้องไม่ผิดทิศ เพราะการบิดตัว เอี้ยวตัว ขณะกำลังสอดใส่อาจจะทำให้อวัยวะเพศชายหักได้ นอกจากเจ็บปวดแล้ว ยังเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องรีบไปโรงพยาบาลก่อนจะสูญเสียอวัยวะ

    5. เซ็กซ์ฝืนท่า 

        หลาย ๆ ท่าของการมีเซ็กซ์ต้องห้าม แม้ว่าคุณจะแข็งแรง และเก่งยิมนาสติกเพียงใด ไม่ว่าฝ่ายหญิงจะตั้งครรภ์หรือไม่ อาจพาคุณไปลงเอยที่โรงพยาบาลได้ เช่น

         - ท่าสะพานโค้ง ที่ฝ่ายชายหงายหลัง ใช้มือ และเท้าตั้งหลักเหมือนเสาสะพานสี่เสา ส่วนฝ่ายหญิงขึ้นคร่อมด้านบน หากเสาสะพานรับน้ำหนักไว้ไม่ไหว ร่างกายฝ่ายหญิงที่ทรุดลงมาจะกระแทกกระดูกสันหลังของฝ่ายชายโดยตรง จนฝ่ายชายอาจเสี่ยงเป็นอัมพาตได้
          - ท่าจับฝ่ายหญิงห้อยหัวลง โดยฝ่ายชายยืน หรือนั่ง ท่านี้อาจทำให้ฝ่ายหญิงเป็นลม หมดสติได้ ยิ่งหากตั้งครรภ์แล้ว นอกจากเกิดอันตรายต่อแม่ ยังอาจเกิดอันตรายต่อลูกในครรภ์ได้อีกด้วย
         - ท่าฝ่ายชายยืนอุ้มฝ่ายหญิงให้ตัวลอย เอาขาไขว่หลังฝ่ายชาย ท่าที่ไม่มั่นคงแบบนี้ ทำให้คนบาดเจ็บมานักต่อนักแล้ว เพราะเมื่อถึงเวลาเข้าด้ายเข้าเข็ม เหงื่อที่ออก และการเกร็งตัว อาจทำให้ฝ่ายหญิงหลุดจากการอุ้มของฝ่ายชาย และหากกำลังตั้งครรภ์ เสี่ยงถึงขั้นแท้งลูกได้

    6. เซ็กซ์ฝืนธรรมชาติ 
         เซ็กซ์ที่ปลอดภัยต้องรู้จักกลไกของธรรมชาติ เช่น ช่วงตั้งครรภ์ ต้องรู้ความเหมาะสมในการมีเพศสัมพันธ์ เช่น ไม่เป่าลมเข้าช่องคลอด เพราะลมอาจรั่วเข้าเส้นเลือดจนฝ่ายหญิงเสียชีวิตได้ เลือกท่าที่ไม่ไปทับครรภ์ที่โตขึ้น เช่น ใน 3 เดือนแรก สามารถเลือกท่าธรรมดาที่เคยมีเพศสัมพันธ์ได้

        แต่หากท้องเกิน 3 เดือน อาจต้องเลือกท่าที่ไม่ทับท้อง เช่น นอนตะแคงเข้าหากัน ไปทางเดียวกัน ฝ่ายชายอยู่ด้านหลัง (ท่าช้อนซ้อนกัน) ทราบข้อห้ามของการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างตั้งครรภ์ เช่น มารดามีเลือดออก จะแท้งลูก เคยแท้งบุตรเป็นประจำ มีน้ำเดินทางออกก่อนครบกำหนดคลอด หรือปวดเจ็บท้องรุนแรงเมื่อมีเพศสัมพันธ์ เป็นต้น

    7. เซ็กซ์ฝืนโรค 

        หากกำลังมีโรค เช่น เริ่ม หูดหงอนไก่ หนองใน ซิฟิลิส ไม่ควรฝืนมีเซ็กซ์กับอีกฝ่าย ควรรักษาโรคให้เรียบร้อยเสียก่อน หรือมิฉะนั้นก็ต้องสวมถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันอีกฝ่ายติดโรค

    8. เซ็กซ์ฝืนปกติ 

        เป็นเซ็กซ์ที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางจิต ได้แก่ เซ็กซ์ซาดิสม์ และมาโซคิสท์ บางคนเป็นทั้งซาดิสม์ และมาโซคิสท์ในคน ๆ เดียวกัน โดยเซ็กซ์ซาดิสม์ คือ เซ็กซ์ที่ตัวเองจะถึงจุดสุดยอด หรือพึงพอใจเมื่อได้ทำร้ายคนอื่นให้เกิดความเจ็บปวด เช่น เฆี่ยนตี รัด มัด ทำร้ายร่างกาย เอาบุหรี่จี้ เป็นต้น ซึ่งอาจลงเอยด้วยอีกฝ่ายบาดเจ็บ หรือเสียชีวิตได้

        ส่วนเซ็กซ์มาโซคิสท์ คือ ทำร้ายตัวเองให้ตนเองเจ็บปวดจึงพอใจในเซ็กซ์ นอกจากตนเองแล้ว บางคนเสียชีวิตเพราะรัดคอตัวเองจนเกิดอุบัติเหตุขาดอากาศหายใจก็มี

         เซ็กฝืนทั้ง 8 ข้อนี้ นับเป็นเรื่องอันตรายมาก อาจลงเอยกันที่โรงพยาบาล หรือไม่ก็โรงพักได้ เพราะเซ็กซ์เหล่านี้ หากทำผู้อื่นบาดเจ็บถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย และทั้งเซ็กซ์ซาดิสม์ และมาโซคิทส์ควรได้รับการรักษาพยาบาลจากจิตแพทย์ค่ะ
ที่มา นิตยสารรักลูก

Facebook Twitter Delicious Digg Stumbleupon Favorites More