Search-form

Welcome to Info Variety ~ The pleasure of life's variety

สีชมพูช่วยให้ผ่อนคลาย มีความสุข และมีความคิดสร้างสรรค์

Welcome to Info Variety ~ The pleasure of life's variety

ไวน์แดงช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ

Welcome to Info Variety ~ The pleasure of life's variety

คนที่ว่ายน้ำไม่เป็นสามารถดำน้ำลึกได้ หากไม่กลัวน้ำ

Welcome to Info Variety ~ The pleasure of life's variety

ช็อคโกแลตอุดมไปด้วยสารเซโรโทนินและเอ็นดอร์ฟินที่ทำให้สบายใจ สดชื่น และมีความสุข

Welcome to Info Variety ~ The pleasure of life's variety

กาแฟร้อนไม่ใส่น้ำตาลและนม ช่วยแก้อาการเมาค้าง

Welcome to Info Variety ~ The pleasure of life's variety

ผัก ปลา และผลิตภัณฑ์จากนม ช่วยบำรุงให้ผมสวย

สิ่งที่ไม่ควรทำตอนวันตรุษจีน (วันขึ้นปีใหม่)


ควรหลีกเลี่ยงการทำงานบ้านในวันขึ้นปีใหม่ เนื่องจากการทำงานบ้าน เช่น การซักล้าง หรือ การกวาดบ้านปัดฝุ่น จะเป็นการขับไล่ความโชคดีออกไป ดังนั้นการทำความสะอาดบ้านจึงควรเริ่มทำตั้งแต่ก่อนที่วันขึ้นปีใหม่จะมาถึง

ไม่ควรสระผมในวันเริ่มต้นและวันสุดท้ายของวันขึ้นปีใหม่ เนื่องจากการสระผมถือเป็นการชะล้างความโชคดีที่มาถึงในวันขึ้นปีใหม่



ไม่ควรใช้ของมีคมในวันขึ้นปีใหม่ ของมีคมต่างๆ เช่น มีด, กรรไกร, ที่ตัดเล็บ เนื่องจากถือว่าการกระทำของของมีคมนี้จะเป็นการตัดสิ่งหรืออนาคตที่ดี ที่จะนำมาในวันขึ้นปีใหม่

ควรระมัดระวังในการใช้คำพูดที่มีความหมายไปในทางลบรวมทั้งหลีกเลี่ยงการโต้เถียงกัน คำที่เกี่ยวข้องกับการเจ็บป่วยหรือความตายเป็นคำที่เราควรหลีกเลี่ยงในวันขึ้นปีใหม่


หลีกเลี่ยงการเข้าร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวกับงานศพ และการฆ่าสัตว์ปีก


ควรระมัดระวังในการทำสิ่งใดๆ ไม่ควรที่จะให้เกิดการสะดุด หรือ ทำสิ่งของตกแตก ซึ่งนั่นจะหมายถึงการนำความโชคไม่ดีเข้ามาในอนาคต





Thanks : chiangmaiphotoclub.com

วันขึ้นปีใหม่ หรือ วันเที่ยว

วันขึ้นปีใหม่ หรือ วันเที่ยว หรือ วันถือ คือวันที่หนึ่งของเดือนที่หนึ่งของปี เรียกว่าวันชิวอิด วันนี้ชาวจีนจะถือธรรมเนียมโบราณที่ยังปฏิบัติสืบต่อกันมาถึงปัจจุบัน คือ ไป๊เจีย คือ การไปไหว้ขอพรและอวยพรญาติผู้ใหญ่และผู้ที่เคารพรัก โดยนำส้มสีทองไปมอบให้ เหตุที่ให้ส้มก็เพราะออกเสียงภาษาจีนแต้จิ๋วว่า "กา" ซึ่งไปพ้องกับคำว่าทอง เพราะฉะนั้นการให้ส้มจึงเหมือนนำโชคดีไปให้ เหตุที่เรียกวันนี้ว่าวันถือเพราะเป็นวันที่ชาวจีนเชื่อว่าเป็นวันเริ่ม ต้นชีวิตใหม่ จะถือเคล็ดบางอย่าง เช่น ไม่พูดจาไม่ดีต่อกัน ไม่จับไม้กวาด เชื่อกันว่าเทพเจ้าไฉ่ซิงเอี้ย ซึ่งเป็นเทพแห่งโชคลาภ จะเสด็จลงมาบนโลก จึงต้องตั้งเครื่องไหว้รับท่าน มีเกร็ดว่าเทพองค์นี้จะเสด็จมาในเวลาและทิศทางต่างๆกันไปในแต่ละปี จึงต้องมีซินแสคอยบอกเพื่อให้ผู้ไหว้ตั้งโต๊ะและหันหน้าไหว้ท่านได้ถูกทิศ 



ชุดของไหว้ ที่ใช้ในการไหว้เทพเจ้า ประกอบด้วย
หมู หมายถึงความมั่งคั่ง หมูอ้วนแสดงถึงความกินดีอยู่ดี หัวหมูเป็นสัญลักษณ์แห่งสมองและปัญญา
ไก่ หมายถึง การตรงเวลา ความรู้งาน ไก่มีหงอนสื่อถึงหมวกขุนนาง แสดงถึงความเจริญก้าวหน้า 
ตับ ภาษาจีนเรียกว่า กัว ซึ่งพ้องกับคำว่า กัว ที่แปลว่าขุนนาง หมายถึงความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
ปลา คนจีนแต้จิ๋วออกเสียงว่า ฮื้อ ซึ่งพ้องกับคำว่า ฮื้อ ที่แปลว่าเหลือ มีนัยให้เหลือกินเหลือใช้
กุ้งมังกร หมาย ถึงมีอำนาจวาสนา แต่คนแต้จิ๋วจะเปลี่ยนจากกุ้งมังกรเป็นเป็ด และเปลี่ยนเป็นปลาหมึกแห้งสำหรับคนจีนแคะ ด้วยเป้นความเชื่อที่ถือกันมาในท้องถิ่นเดิม



ชุดกับข้าว ซึ่งทำไหว้ผีบรรพบุรุษและไว้รับประทานกันเองหลายอย่าง ล้วนมีนัยมงคล เช่น
ลูกชิ้นปลา แต้จิ๋วออกเสียงว่า ฮื้อ-อี๊ แปลว่า ลูกปลากลมๆ หมายถึงความสามัคคีกลมเกลียว
ผัดตับกับกุยช่าย ตับหมายถึงความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน กุยช่าย ออกเสียงเหมือน กุ่ย ซึ่งหมายถึง รวย
ผัดถั่วงอก หมายถึงความเจริญงอกงาม บ้างก็ว่าเปรียบเหมือนหนวดมังกร สื่อถึงอำนาจวาสนา
เต้าหู้ ออกเสียงตามสำเนียงจีนว่า โตฟู หมายถึงความสุข
สาหร่ายทะเล เรียกว่า ฮวกฉ่าย ออกเสียงคล้าย ฮวดใช้ ที่แปลว่าโชคดี ร่ำรวย 

ชุดของหวาน
ขนมถ้วยฟู คนจีนเรียก ฮวกก้วย ซึ่งแปลว่าขนมแห่งความเจริญงอกงาม
ขนมคักท้อก้วย คือ ซาลาเปา มีไส้ต่างๆ ซาลาเปานั้น คำว่า เปา หมายถึงห่อ เมื่อมีไส้ที่เป็นมงคล เช่นไส้เต้าหู้ ซึ่งมีความหมายว่า ความสุข ก็จะแปลว่า ห่อความสุขมาให้ ไส้กุยช่าย ซึ่งหมายถึงความร่ำรวยก็หมายถึงห่อเงินห่อทองมาให้
ขนมซิ่วท้อ เป็นซาลาเปาปั้นเป็นรูปลูกท้อแต้มสีชมพู ท้อเป็นสัญลักษณ์แห่งความมีอายุยืน
ขนมไข่ เรียกว่า หนึงก้วย ไข่หมายถึงการเกิดและการเจริญเติบโต
โหงวเส็กทึ้ง ไทยเรียกขนมจันอับ ประกอบขึ้นจากขนมห้าอย่าง คือถั่วตัด งาตัด ถั่วเคลือบ ข้าวพอง ซึ่งหมายถึงความเจริญงอกงาม และฟักเชื่อม ซึ่งหมายถึงความร่ำรวยและความหวานของชีวิต

ชุดผลไม้ 
ส้ม แต้จิ๋วเรียก กา แต่จีนกลางเรียก ไต้กิก ไต้แปลว่า ใหญ่ กิก แปลว่า มงคล
กล้วย แต้จิ๋วออกเสียงว่า เก็ง-เจีย พ้องกับวลีว่า เก็ง-เจีย-เก็ง-ไล้ แปลว่าดึงโชคเข้ามา กล้วยออกลูกเป็นเครือ สื่อความหมายถึงการมีลูกหลานมาก
องุ่น ออกเสียงว่า พู่-ท้อ พู่หมายถึง งอกงาม ท้อเป็นชื่อของผลไม้ที่มีความหมายให้อายุยืน
สับปะรด คนจีนแต้จิ๋วเรียกว่า อั้งไล้ แปลตามตัวว่า เรียกสีแดงเข้ามา สีแดงเป็นสีมงคล จึงถือว่า หมายถึงการเรียกเอาสิริมงคลเข้ามา


นอกจากนี้ในการเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนเรายังพบแต่สีแดง ซึ่งเชื่อว่าเป็นสีแห่งความเป็นมงคล สีขอ งจักรวาล มีการติดแผ่นป้ายเขียนคำมงคลไว้ที่หน้าประตูบ้านเรียกว่า แผ่นตุ้ยเลี้ยง คำมงคลที่เราคุ้นเคยเช่น ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดใช้ แปลว่า ขอให้ประสบโชคดี ขอให้มั่งมีปีใหม่ เป็นต้น การจุดประทัดเพื่อขับไล่สิ่งไม่ดี การเชิดมังกรและสิงโต ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นมงคล เป็นต้น ธรรมเนียมจีนให้ความสำคัญการความเป็นสิริมงคลในการดำเนินชีวิต มีนัยแห่งการสร้างความเชื่อมั่นเป็นกำลังใจในการดำเนินชีวิต นับเป็นความชาญฉลาดทางจิตวิทยา อย่างน่ายกย่องของบรรพชน



การไหว้ตรุษจีน


การไหว้ตรุษจีนมีประวัติยาวนานย้อนหลังกลับไปถึงสมัยราชวงศ์โจว เมื่อกว่า ๓,๐๐๐ ปีมาแล้วแต่เดิมมีการไหว้กันยาวนานถึง ๑๕ วัน แต่ในปัจจุบันสังคมเปลี่ยนไป ธรรมเนียมการไหว้ตรุษจีน จึงลดลงเหลือเพียง ๓ วัน ดังนี้ วันจ่าย หรือ ตื่อเส็ก คือวันก่อนวันสิ้นปี เป็นวันที่ชาวไทยเชื้อสายจีนจะต้องไปซื้ออาหาร ผลไม้และเครื่องเซ่นไหว้ต่างๆ ก่อนที่ร้านค้าทั้งหลายจะปิดร้านหยุดพักผ่อนยาว ในตอนค่ำจะมีการจุดธูปอัญเชิญเจ้าที่ หรือ ตี่จู่เอี๊ย ให้ลงมาจากสวรรค์เพื่อรับการสักการะบูชาของเจ้าบ้าน หลังจากที่ได้ไหว้อัญเชิญขึ้นสวรรค์เมื่อ 4 วันที่แล้ว ถ้าเราเดินเข้าไปในบ้านหรือร้านค้าของจีน คงเคยเห็นศาลเจ้าเล็กๆสีแดงสด ศิลปะจีน วางอยู่บนพื้น ข้างหน้าศาลวางเครื่องบูชา นั่นคือศาลตี่จู่เอี๊ยหรือเจ้าที่นั่นเอง ธรรมเนียมการนับถือตี่จู่เอี๊ยนี้คล้ายกับการนับถือพระภูมิเจ้าที่ของคนไทย นั่นเอง 


ในสมัยโบราณจะมีการเซ่นไหว้เทพเจ้าเตาในวันนี้ด้วย ซึ่งถือว่าเป็นผู้มีพระคุณที่หุงข้าวต้มปลาให้เราได้กินตลอดมา และเชื่อว่าเทพเจ้าเตาจะนำบันทึกความดีความชั่วที่เราทำมาตลอดปีขึ้นไปให้ เทพเจ้าบนสวรรค์ตรวจสอบจึงต้องมีการเลี้ยงส่งท่าน นัยว่าเอาใจท่านนั่นเอง รุ่งขึ้นคือ วันสิ้นปี จะมีการไหว้ 3 ครั้ง ตอนเช้ามืดจะไหว้ ไป๊เล่าเอี๊ย เป็นการไหว้เทพเจ้าต่างๆ เครื่องไหว้คือ เนื้อสัตว์ 3 อย่าง (ซาแซ ได้แก่ หมูสามชั้นต้ม ไก่ เป็ด ปรับเปลี่ยนเป็นชนิดอื่นได้ หรือมากกว่านั้นได้จนเป็นเนื้อสัตว์ห้าชนิด) เหล้า น้ำชา และกระดาษเงินกระดาษทอง ตอนสาย จะไหว้ไป๊เป้บ๊อ คือการไหว้บรรพบุรุษ พ่อแม่ญาติพี่น้องที่ถึงแก่กรรมไปแล้ว เป็นการแสดงความกตัญญูตามคติจีน การไหว้ครั้งนี้จะไหว้ไม่เกินเที่ยง เครื่องไหว้จะประกอบด้วย ซาแซ อาหารคาวหวาน (ส่วนมากจะทำตามที่ผู้ที่ล่วงลับเคยชอบ) รวมทั้งการเผากระดาษเงินกระดาษทอง เสื้อผ้ากระดาษเพื่ออุทิศแก่ผู้ล่วงลับ หลังจากนั้น ญาติพี่น้องจะมารวมกันรับประทานอาหารที่ได้เซ่นไหว้ไปเพื่อความเป็นสิริมงคล และถือเป็นเวลาที่ครอบครัวหรือวงศ์ตระกูลจะรวมตัวกันได้มากที่สุด จะแลกเปลี่ยนอั่งเปาหลังจากรับประทานอาหารร่วมกันแล้ว ตอนบ่าย จะไหว้ ไป๊ฮ้อเฮียตี๋ เป็นการไหว้ผีพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว และผีไม่มีญาติ เครื่องไหว้จะเป็นพวกขนมเข่ง ขนมเทียน เผือกเชื่อมน้ำตาล กระดาษเงินกระดาษทอง พร้อมทั้งมีการจุดประทัดเพื่อไล่สิ่งชั่วร้ายและเป็นสิริมงคล 


วันตรุษจีน (Chinese New Year)




วันตรุษจีน เป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ของจีนนั้น เป็นวันที่ 1 เดือน 1 ของจีนตามวันทาง

จันท-คติ ถือเป็นวันเริ่มต้นปีใหม่ของปี และเป็นวันแรกของฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งจีนจะแบ่งเวลา 1 ปี เป็น 4 ฤดูคือ ชุง แห่ ชิว ตัง



วันตรุษจีนจะเป็นวันแรกของฤดูชุง หรือฤดูใบไม้ผลิ ตรงกับเดือนที่ 1 ,2,3 ของปีเป็นช่วงเวลาที่อากาศดีที่สุด คือ ไม่ร้อน ไม่หนาว และไม่มีฝน

วันตรุษจีนจึงมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า “ วันชุงเจ๋” เนื่องจากประเทศจีนเป็นประเทศเกษตรกรรมมาแต่โบราณ เมื่อหมดหน้าหนาวที่ทำการเพาะปลูกไม่ได้ มาเข้าฤดูใบไม้ผลิที่อากาศดี จะได้เริ่มต้นทำนา ทำสวนจึงมีการบวงสรวงต่อเทพยดา เซ่นไหว้บรรพบุรุษ อธิษฐานให้ได้พืชผลอุดมสมบูรณ์ ให้กิจการงานก้าวหน้าตรงนี้น่าจะเป็นที่มาของตำนานการไหว้เจ้าในวันตรุษจีน ที่เรียกว่า “ง่วงตั้งโจ่ย”

แต่เนื่องจากธรรมเนียม การไหว้วันตรุษจีนจะต่อเนื่องกันมาจากวันไหว้สิ้นปี และมีธรรมเนียมการทำความสะอาดบ้านก่อนหน้าอีก ด้วย จึงขออธิบายเป็นเรื่องสืบเนื่องต่อกันว่า การดูวันทางจีนจะเป็นแบบจันทรคติ บางเดือนมี 29 วัน เรียกว่าเดือนสั้น หรือบางเดือนมี 30 วัน เรียกว่าเดือนยาว ทำให้ เดือน 12 ของแต่ละปี บางครั้งก็มี 29 วัน บางปีก็มี 30 วัน แต่คนไทยจะติดเป็นความเคยชินว่า วันสิ้นปีจะเป็นวันที่ 31 แต่ของวันจีนจะไม่ใช่ ตรงนี้ต้องระวัง พอใกล้ ๆ จะถึงสิ้นปี ชาวจีนจะนิยมทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่ เรียกว่า ล้างบ้านพานหยากไย่กันแทบทุกซอกมุม ครั้นพอถึงช่วงเทศกาล จะมีการหยุดงาน หยุดกิจการค้า เพื่อทำพิธีไหว้เจ้าที่ ต้องไหว้ 2 วันซ้อน ซึ่งมีไหว้กลางดึกด้วยนอกจากนี้ก็จะได้ใช้เวลาในช่วงนี้ไปเยี่ยมคารวะผู้ใหญ่ญาติมิตรที่เคารพนับถือและเที่ยวพักผ่อน จึงมีสำนวน “วันจ่าย  วันไหว้   วันถือ” ให้ลูกไทยแท้สงสัยว่า วันไหนคือวันไหน 

วันจ่าย คือ วันก่อนสิ้นปี 1 วัน ใครจะต้องซื้อหาเตรียมของอะไรแล้วยังไม่เรียบร้อย ก็ให้ทำให้เสร็จในวันจ่ายก่อนที่ร้านค้าจะหยุดยาว ซึ่งในวันนี้รถจะติดยาวในย่านเยาวราช เพราะเป็นแหล่งที่ชาวจีนนิยมไปซื้อของไหว้และของใช้อื่นๆ

วันไหว้ คือ การไหว้ในวันสิ้นปี จะเป็นการไหว้เจ้าที่ในตอนเช้า ตามด้วยการไหว้บรรพบุรุษในตอนสาย แล้วไหว้ผีไม่มีญาติในตอนบ่าย ซึ่งการไหว้ผีไม่มีญาตินี้ บางบ้านก็ไม่นิยมไหว้ 


ส่วนการไหว้วันตรุษจีน เรียกว่า การไหว้วันชิวอิดสำหรับผู้ที่เคร่งธรรมเนียมมากๆ จะไหว้ตามฤกษ์ยามที่ต้องคอยอ่านจาก “แหล่ยิกเท้า” ว่าจะต้องไหว้ “ไช้ซิ้งเอี๊ย” หรือเทพเจ้าแห่งโชคลาภในเวลาอะไร และตั้งโต๊ะ ไหว้อย่างไร เช่นในปี 2537 ที่ผ่านมา ให้ตั้งโต๊ะไหว้ “ไช้ซิ้งเอี๊ย” ที่หน้าบ้าน ถ้าบ้านมีบริเวณก็ให้ไหว้ที่กลางแจ้ง แล้วหันโต๊ะไหว้ในทางทิศตะวันตก ทำพิธีจุดธูปไหว้ระหว่างเวลา 01.00-03.00 น.  
การไหว้ไช้ซิ้งเอี๊ยนี้ เพื่อขอพรท่านให้ครอบครัวของเราโชคดีตลอดปี เมื่อตื่นขึ้นมาในเช้าวันตรุษจีน จึงไหว้บรรพบุรุษ ซึ่งบางบ้านนิยมไหว้อาหารเจ ส้ม และขนมอี๊ และบางบ้านที่เคร่งธรรมเนียม ผู้ใหญ่จะกินเจ 1 มื้อ หรืออาจกินเจวันนั้นทั้งวัน

วันถือ คือ วันตรุษจีน โดยถือกันว่าในวันนี้ทุกคนจะพูดและทำแต่สิ่งที่เป็นมงคล เช่น ไม่มีการพูดว่ากัน แต่จะกล่าวคำอวยพร

“ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดใช้” แปลเป็นไทยคือ ขอให้โชคดีปีใหม่นั่นเอง การถืออื่น ๆ ที่นิยมว่าถือกัน เช่น ห้ามจับไม้กวาดกวาดบ้าน เพราะอาจเป็นการกวาดสิ่งดีๆ ในบ้านออกไปแล้วกวาดสิ่งไม่ดี เข้ามา วันถือนี้ บางคนก็เรียกวันเที่ยว ซึ่งคงมาจากธรรมเนียมการแต๊ะเอีย ที่พอลูกหลานและลูกจ้างได้เงินแต๊ะเอีย ที่เปรียบได้กับโบนัสพิเศษ ก็ไปเที่ยวกัน 






อย่างไรก็ตามในวันตรุษจีนถือเป็นธรรมเนียมที่จะต้องไปไหว้ญาติผู้ใหญ่ เรียกว่า “ไป๊เจีย”และมีการหิ้วส้มไปแลกเปลี่ยนกัน เพราะส้มนี้มีคำจีนเรียกว่า “ไต้กิก” แปลว่า โชคดี การแลกส้ม จึงมีความนัยว่าเอาความโชคดีมามอบให้แก่กัน พร้อมคำอวยพร โดยนิยมกันว่า เอาส้ม 4 ผล ใส่ผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่มาส่งให้เจ้าบ้าน เจ้าบ้านจะรับไว้แล้วนำส้ม 2 ผล ของแขกขึ้นมาเปลี่ยนเอาส้ม 2 ผล ของที่บ้านผลัดให้แทน บางบ้านที่ใช้ขนมอี๊ไหว้เจ้าก็อาจมีการเตรียมขนมอี๊ไว้เลี้ยงแขกด้วย




อี๊ คือ ขนมบัวลอยจีน ใช้แป้งข้าวเหนียวนวดจนได้ที่ ผสมสีแดง ซึ่งเป็นสีแห่งมงคล แต่ใส่นิดเดียวพอให้เป็นสีชมพูดูน่ากิน ต้มใส่น้ำเชื่อม ความกลมนุ่มที่เคี้ยวง่ายของขนม มีความหมายว่าให้โชคดี คิดทำสิ่งใดก็ให้ง่ายและราบรื่น 

ส่วนธรรมเนียมการแต๊ะเอียนั้น จะมีเฉพาะบ้านที่มีฐานะดี การให้นี้ คือ นายจ้างให้ลูกจ้าง กับ ให้กันเองในครอบครัวว่าพ่อแม่ให้ลูกหลาน แต่ถ้าลูกได้ทำงานแล้ว หรือออกเรือนแล้ว ก็จะเป็นฝ่ายให้พ่อแม่ ซึ่งพ่อแม่ที่ฐานะดี ก็มักจะแต๊ะเอีย กลับคืนมาในจำนวนที่เท่ากัน หรือเพิ่มให้มากขึ้นได้แต่จะให้เป็นเงินของพ่อแม่เอง ไม่ใช่เอาเงินที่ลูกให้มานั้นให้กลับคืนมา ส่วนเขย สะใภ้ ตามธรรมเนียมก็ควรให้น้องสามีและน้องภรรยา ส่วนคนที่มีศักดิ์เป็นลุง ป้า น้า อา ก็ควรมีแต๊ะเอียให้หลาน ๆ เช่นกัน ธรรมเนียมการแต๊ะเอียนี้ ผู้ใหญ่ที่พิถีพิถันจะเอาเงินใส่ซองแดงอย่างมีเคล็ด คือให้เป็นเลขที่ดีที่สุด เรียกว่า “ซี่ลี่” เพราะถือว่าเป็นเลขสิริมงคล ซี่ กับ สี่ คือเลข 4 ซี่สี่ ก็คือ คู่สี่ นั่นเอง

 

ตัวอย่างการให้แต๊ะเอียเป็นเลข “ซี่สี่” คือ 400 จะเป็นตัวเลข 400 กับแบงก์ร้อย 4 ใบ หรือจะให้เป็น 2 เท่า 3 เท่า ของซี่สี่ เช่น 800, 1200 ก็ได้ อีกเกร็ดหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับเทศกาลตรุษจีน คือ การเล่นไพ่ โดยเฉพาะการเล่นยี่อิด จะนิยมกันมากผู้ใหญ่หลายท่านถือเอาการเล่นไพ่ในวันตรุษเป็นเรื่องเสี่ยงทาย ถ้าเล่นได้ก็ถือเป็นเคล็ดว่าตลอดปีใหม่นี้จะเฮงหรือโชคดี และที่พลาดไม่ได้ คือ การติดยันต์แผ่นใหม่ที่หน้าประตูบ้านเพื่อเป็นสิริมงคลและคุ้มครองภัย

Knowing Quotes

The secret to creativity is knowing how to hide your sources.
Albert Einstein 

There is nothing so pitiful as a young cynic because he has gone from knowing nothing to believing nothing.
Maya Angelou 

Meeting Franklin Roosevelt was like opening your first bottle of champagne; knowing him was like drinking it.
Winston Churchill 

Patriot: the person who can holler the loudest without knowing what he is hollering about.
Mark Twain 

Success is peace of mind which is a direct result of self-satisfaction in knowing you did your best to become the best you are capable of becoming.
John Wooden 

Success comes from knowing that you did your best to become the best that you are capable of becoming.
John Wooden 

The only true wisdom is in knowing you know nothing.
Socrates 

The only things one can admire at length are those one admires without knowing why.
Eleanor Roosevelt 

It not knowing what to do, it's doing what you know.
Tony Robbins 

You see, in life, lots of people know what to do, but few people actually do what they know. Knowing is not enough! You must take action.
Tony Robbins 

I will not be concerned at other men's not knowing me;I will be concerned at my own want of ability.
Confucius 

Risk comes from not knowing what you're doing.
Warren Buffett 

The wise man does not expose himself needlessly to danger, since there are few things for which he cares sufficiently; but he is willing, in great crises, to give even his life - knowing that under certain conditions it is not worthwhile to live.
Aristotle 

True knowledge exists in knowing that you know nothing.
Socrates 

I decided that it was not wisdom that enabled poets to write their poetry, but a kind of instinct or inspiration, such as you find in seers and prophets who deliver all their sublime messages without knowing in the least what they mean.
Socrates 

Education is an admirable thing, but it is well to remember from time to time that nothing that is worth knowing can be taught.
Oscar Wilde 

Knowledge is knowing that we cannot know.
Ralph Waldo Emerson 

People disparage knowing and the intellectual life, and urge doing. I am content with knowing, if only I could know.
Ralph Waldo Emerson 

The most important single ingredient in the formula of success is knowing how to get along with people.
Theodore Roosevelt 

Courage is knowing what not to fear.
Plato 




Facebook Twitter Delicious Digg Stumbleupon Favorites More