Search-form

ถ่ายภาพสินค้าให้น่าซื้อ


กระแสการค้าขายสินค้าบนอินเทอร์เน็ตหรือที่เรียกกันว่า E - Commerce กำลังมาแรง เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนน้อย ไม่ต้องจ้างลูกจ้าง หรือเช่าพื้นที่ทำร้านให้เสียสตางค์ แถมยังมีตัวอย่างคนที่ประสบความสำเร็จจากธุรกิจนี้ให้เห็นกันมากมาย ทำให้หลายๆ คนอยากจะผันตัวเองมาเป็นพ่อค้าแม่ค้าขายของบนอินเทอร์เน็ตกันบ้าง
การมีหน้าร้านออนไลน์ไม่ใช่เรื่องยาก แต่สิ่งสำคัญก็คือ ทำยังไงถึงจะให้ร้านของเราสามารถแข่งขันกับร้านอื่นๆ (ซึ่งมีอยู่เป็นร้อยเป็นพัน) นอกจากเรื่องของราคา การประชาสัมพันธ์และบริการแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ ภาพถ่ายของสินค้าต้องสวยงาม ดึงดูดใจเอาไว้ก่อน (ถึงแม้สินค้าตัวจริงจะดูไม่ได้ก็เถอะ)? ฉบับนี้มีเคล็ดลับในการเตรียมภาพสินค้าสำหรับร้านค้าออนไลน์ ให้สวยงามดึงดูดใจลูกค้า มาแนะนำให้ลองนำไปใช้ดูนะครับ

1. เตรียมสินค้าให้พร้อมก่อน

ไม่ว่าเราจะขายอะไรก็ตาม ของมือหนึ่ง ของมือสอง ของมีตำหนิหรือของค้างสต๊อค ฯลฯ เราควรตรวจสอบสินค้าและบรรจุภัณฑ์ให้อยู่ในสภาพที่เรียบร้อย สวยงามเสียก่อน ไม่ใช่ว่า สินค้ามาทั้งกล่องบุบๆ บี้ๆ ก็ถ่ายภาพกันไปทั้งอย่างงั้น แบบนี้ใครเห็นก็คงไม่อยากจะซื้อ หากตัวสินค้ามีรอยเปื้อนหรือฝุ่นตรงไหน ก็เช็ดทำความสะอาดให้เรียบร้อย กล่องใส่สินค้าก็ควรจัดให้อยู่ในสภาพดีๆ (เท่าที่จะทำได้) การจัดเตรียมสินค้าในเบื้องต้นนอกจากจะช่วยให้การถ่ายภาพในขั้นตอนต่อไปง่ายขึ้นแล้ว ยังสื่อให้เห็นถึงความเอาใจใส่ต่อสินค้าของผู้ขายด้วยนะครับ

ถ่ายภาพสินค้า


2. เตรียมกล้องให้พร้อม

มักจะมีคำถามเสมอว่า ถ่ายภาพสินค้า ต้องใช้กล้องและเลนส์ระดับเทพหรือไม่ คำตอบก็คือไม่จำเป็นครับ ถ้าเราไม่ได้คิดจะเปิดสตูดิโอรับงานถ่ายสินค้าให้แบรนด์ดังๆ กล้องที่ใช้ถ่ายจะเป็นกล้องคอมแพคหรือ SLR แบบธรรมดาๆ ก็เพียงพอแล้ว (ถ้าเป็นกล้องคอมแพคก็จะดีหน่อยตรงที่ถ่ายมาโครได้) หากใช้กล้อง SLR ก็ควรดูช่วงเลนส์ที่ใช้นิดนึง หากสินค้าที่จะถ่ายมีขนาดเล็กมาก เช่น พวกเครื่องประดับ ก็อาจจะต้องหาเลนส์มาโครเพิ่ม เพื่อจะได้ภาพที่ชัดเจนขึ้น แนะนำให้ลองเข้าไปหาเลนส์มือสอง ตามเว็บไซต์ต่างๆ ดูก่อนครับ อาจจะได้ของดีราคาถูกมาใช้ก็ได้ ส่วนสินค้าอื่นๆ เลนส์ช่วงนอร์มอล ปกติก็ใช้งานได้ดีแล้วครับ

ถ่ายภาพเครื่องประดับ

3. เตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็น
มีอุปกรณ์อย่างหนึ่งที่อยากจะแนะนำ หากคิดจะถ่ายภาพสินค้า นั่นก็คือ Light tent เป็นอุปกรณ์ลักษณะคล้ายๆกล่องหุ้มด้วยผ้าสีขาว เอาสินค้าวางไว้ข้างใน และใช้แสงส่องจากด้านนอกเข้าไป Light tent จะช่วยให้แสงนุ่มนวลขึ้น ลดการเกิดเงา สนนราคาของตัวมันมีทั้งแบบถูกและแพง เลือกซื้อกันได้เลยครับ ผมแนะนำให้เข้าไปดูที่ลิงก์นี้ http://strobist.blogspot.com/2006/07/how-to-diy-10-macro-photo-studio.html หรือจะค้นคำว่า D.I.Y Light tent จากใน Google ดูก็ได้ครับ จะเจอเว็บที่รวบรวมวิธีการสร้าง Light tent มากมาย โดยประยุกต์เอาจากอุปกรณ์ใกล้ๆ ตัว เช่น กล่องกระดาษ ท่อน้ำ กระดาษไข หรือผ้าขาว รวมๆ แล้วใช้งบไม่เกินห้าร้อยบาท สำหรับไฟที่ใช้ก็หาซื้อโคมไฟอ่านหนังสือมาสักสองตัว เพื่อใช้ส่องสว่าง (ไม่จำเป็นต้องใช้แฟลช) การถ่ายภาพด้วย Light tent นอกจากเราจะสามารถควบคุมตำแหน่งทิศทางของแสงแล้ว ยังช่วยให้ภาพสินค้าของเราดูเป็นมืออาชีพขึ้นด้วยครับ

light-tent
ตัว Light tent สามารถใช้ถ่ายสินค้าได้หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นของเล่น ของใช้ ไปจนถึงอาหาร หากจะสร้าง Light tent ขึ้นมาใช้งานเอง ให้คำนึงถึงขนาดของสินค้าที่เราจะถ่ายด้วย หากสินค้ามีขนาดใหญ่ก็ต้องสร้าง Light tent ให้ใหญ่ขึ้น และอาจต้องใช้ไฟมากกว่า 1 ดวง


4. เลือกฉากหลังให้ดีๆ

ข้อผิดพลาดอย่างหนึ่งในการถ่ายภาพสินค้า ที่มักพบเห็นตามเว็บไซต์ต่างๆ ก็คือ การใช้ฉากหลังหรือ Background ที่ไม่เหมาะสม บางเว็บถ่ายภาพสินค้าจากในห้องนอนของตัวเองนั่นแหละ ซึ่งก็ไม่ผิดอะไรครับ แต่สิ่งที่ติดมากับภาพสินค้าก็คือ สภาพห้องหับอันรกรุงรัง เสื้อผ้ากองระเกะระกะ แบบนี้ลูกค้าเห็นแล้วคงส่ายหน้า หรือบางที่ก็วางสินค้าไว้กับพื้นห้องมีแต่รอยฝุ่น ดูแล้วไม่เจริญหูเจริญตาเลย (แถมทำให้มูลค้าสินค้าตกต่ำลงไปอีก) ดังนั้นหากคิดจะถ่ายสินค้าให้ดูดีแล้ว ควรเลือกฉากหลังให้ดีครับ ฉากหลังที่ดีควรเป็นสีเรียบๆ ไม่ควรมีสีฉูดฉาดหรือสะท้อนแสงมาก ง่ายๆ เลยก็คือ หากระดาษสีขาวหรือสีดำ แผ่นใหญ่ๆ หน่อย สีละสองแผ่น แผ่นหนึ่งใช้รองพื้น ส่วนอีกแผ่นใช้เป็นฉากหลัง หรือหากอยากได้พื้นที่สะท้อนตัวสินค้า ก็ลองใช้แผ่นอะครีลิคสีขาวหรือดำวางเป็นพื้นดูครับ การใช้ฉากหลังเรียบๆ จะช่วยขับให้สินค้าของเราดูโดดเด่น น่าซื้อขึ้นมากครับ

ภาพถ่ายอาหารญี่ปุ่น


5. ควบคุม Depth ให้เหมาะสม

Depth ที่ว่านี้ก็คือ ความชัดลึกของวัตถุนั่นเองครับ หากถ่ายด้วยกล้อง SLR ให้เลือกใช้โหมด A เพื่อควบคุมรูรับแสงเอง ในการถ่ายภาพสินค้าทั่วๆ ไป ควรเน้นให้เห็นรายละเอียดของสินค้าอย่างชัดเจน (ขึ้นอยู่กับว่าถ่ายอะไร) อย่าให้เบลอหรือหลุดโฟกัส อาจจะปล่อยให้ส่วนหลังๆ ชัดตื้นไปบ้างก็ได้ เพื่อละลายแบ็คกราวน์หรือฉากหลังออกไป อันนี้ไม่มีสูตรตายตัว หากจะถ่ายแบบชัดตื้น (คือใช้รูรับแสงกว้าง แต่วัตถุชัดแค่บางส่วน) ก็ควรถ่ายมาหลายๆ มุม เพื่อให้ลูกค้าเห็นรายละเอียดในส่วนอื่นๆ ด้วย

สำหรับขนาดของไฟล์ภาพ เราไม่จำเป็นต้องตั้งไปที่ขนาดใหญ่สุดก็ได้ อาจตั้งไว้ที่ขนาดกลางหรือเล็กก็เพียงพอแล้ว แต่สำหรับคุณภาพของไฟล์ แนะนำให้ตั้งไว้ที่สูงสุด)

6. ปรับแต่งภาพให้เหมาะสมก่อนนำภาพขึ้นไปโชว์

ขั้นตอนสุดท้ายก่อนนำภาพขึ้นไปโชว์บนหน้าร้านก็คือ การปรับแต่งไฟล์ให้เหมาะสม เมื่อได้ภาพมาแล้ว ให้ตรวจสอบว่ามีรอยฝุ่นผงใดๆ ที่อาจติดมาจากเลนส์หรือเซนเซอร์ ให้ทำการลบออกให้เรียบร้อย อาจทำการปรับแต่งสีสันเพิ่มเติมได้ครับ จากนั้นทำการย่อขนาดของภาพให้เหมาะสม สุดท้ายให้ทำการเพิ่มความคมชัด (Sharpen) เนื่องจากเวลาเราย่อขนาด ภาพจะสูญเสียความคมไป ก่อนจะเซฟก็ควรเลือกการบีบอัดให้ดีๆ นะครับ เลือกระดับการบีบอัดที่พอดีๆ อย่าให้ภาพเละมากเกินไป

การใช้ Photoshop ในการปรับแต่งภาพ ควรระวังเรื่อง การลบหรือปิดบังตำหนิของสินค้าหน่อยนะครับ หากเราลบหรือปิดบังตำหนิของสินค้าจนเกินจริงไป เมื่อลูกค้าซื้อไปอาจเกิดปัญหา และร้านของเราอาจถูกมองว่าหลอกลวงได้ ดังนั้นซื่อสัตย์กับลูกค้าไว้ ดีที่สุดครับ
หวังว่าเทคนิคการเตรียมภาพสินค้าเพื่อนำขึ้นเว็บไซต์ที่แนะนำไปคงจะมีประโยชน์และช่วยดึงดูดลูกค้าให้กับร้านค้าบนอินเทอร์เน็ตของเพื่อนๆ นะครับ 
Thanks : dplusmag.com

0 comments:

Post a Comment

Facebook Twitter Delicious Digg Stumbleupon Favorites More